บล็อกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้ที่อยู่ในความสนใจ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แมวเดินสองพันไมล์ตามหาเจ้านาย

มีครอบครัวหนึ่ง จำต้องอพยพโยกย้ายถิ่นฐานจากเมืองกูลิสถาน ประเทศอุซเบกิสถาน ไปยังบ้านใหม่ในดินแดนห่างไกลโพ้นกว่า 2,000 ไมล์ คือเมืองลิสกา ประเทศรัสเซีย...
สมาชิกครอบครัว นางระวีลา ไฮโรวา อายุ 52 ปี รู้สึกกังวลว่าเจ้า คาริม แมวสีสวาดเพศผู้ ที่เลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กจนเติบโต อาจไม่มีความสุขหากหอบหิ้วมันไปอยู่ต่างด้าวต่างแดนด้วย เลยเห็นพ้องต้องกันว่าควรยกให้เพื่อนบ้าน ซึ่งรักเอ็นดูคาริมไม่น้อยกว่า
คุณยายระวีลาได้มอบเฟอร์นิเจอร์และภาชนะ อันน้องเหมียวคาริมโปรดปรานให้เพื่อนบ้านด้วย อาทิ เก้าอี้ พรมปูพื้น ชามใส่อาหารคาริม ด้วยหวังว่าคาริมจะรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน
แต่ผิดคาดยิ่งกว่าฟุตบอลโลกพลิกล็อก...สองปีให้หลัง นางระวีลาเห็นเจ้าคาริมนั่งป้อว่ออยู่หน้าประตูบ้านในเมืองลิสกา..สภาพทรุดโทรมน่าเวทนาสงสารจับจิตจับใจ   ตามเนื้อตามตัวขะมุกขะมอม ร่างกายผ่ายผอมโซหนังหุ้มกระดูก   บาดแผล   และรอยแผลเป็นเต็มตัว
"เพื่อนบ้านส่งข่าวว่าหลังเราย้ายไม่กี่วันคาริมหายไป จนสองปีผันผ่าน คาริมก็บากบั่นมาถึงที่นี่ เดี๋ยวนี้คาริมสมบูรณ์แข็งแรงดังเดิมแล้ว" คุณยายเล่าพลางร้องไห้ด้วยความดีใจ
นี่แหละข้อพิสูจน์... วิฬาร์อันว่าแมวเหมียวนั้น "เก้าชีวิต" ยอดทรหดhttp://www.thairath.co.th/column/oversea/joke/91807
แต่ประสบการณ์ในชีวิตจริงของผู้เขียนไม่ใช่แมว แต่เป็นหมาน้อย ซึ่งได้นำนั่งรถไปเที่ยวและไปวิ่งซน หายไปไร้ร่องรอย จวบจนอีก2 อาทิตย์ต่อมา เจ้าหมาน้อยเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน ผอมโซ มอมแมม หิวโหย
ทุกคนในบ้านดีใจมาก และรู้สึกอัศจารรย์ใจที่มันสามารถกลับบ้านมาได้ โดยระยะทางที่หายไปกับบ้าน ไม่ต่ำกว่า 50 ก.ม. จากนั้นทุกคนเลี้ยงดูอย่างดี จนอ้วนท้วนสมบูรณ์และจากเราไปเองด้วยอายุขัย แสดงว่าประสาทสัมผัสของสัตว์เลี้ยงที่รักและผูกพันกับเจ้าของนั้นลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ ประทับใจอย่างมากทีเดียว

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แพทย์แผนไทยต้องการแรงหนุน

เมื่อครั้งที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ระบาดในเมืองไทยช่วงกลางปี2552 ผู้คนวิตกกังวลกันมาก จากการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขยายวงการระบาดไปทั่วประเทศ
 คาดว่าประเทศไทยจะมีผู้ติดเชื้อโรคนี้จริงๆมาก 5- 6 แสนคน  
คนตื่นตัวในเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกายและสุขอนามัยของตนเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน การรณรงค์เรื่อง "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" นั้น ได้ผลอย่างน่าพอใจ กินผลไม้และผักที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ฝรั่ง มะม่วง มะละกอ  พุทรา มะกอก เงาะ แคนตาลูป  ผักคะน้า กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ พริกทุกชนิด มะละกอดิบ ผักกาดและผักที่มีใบสีเขียวทั้งหลาย จะขายดีมาก
 วิตามินซีมีประโยชน์ในการป้องกันโรค เพราะนอกจากจะทำให้ผิวหนังแข็งแรง ยังช่วยลดอาการ อาการหวัด เช่นน้ำมูกไหล จาม เจ็บแสบคอได้  เมื่อรู้สึกว่าจะเป็นหวัด วิตามินซีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ดี  เป็นการประกันตัวเองจากโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ได้ไปอีกเปลาะหนึ่ง
สมุนไพรไทย เป็นทางเลือกหนึ่งในการนำมาใช้รักษาและป้องกันเบื้องต้นได้  สมุนไพรไทยมีหลายชนิดมีสรรพคุณหลายอย่าง ที่สามารถต้านเชื้อไวรัสได้ดี เช่น คาวตองหรือพูลคาว ฟ้าทะลายโจร ยาห้ารากหรือจันทลีลา และยาเขียวหอมสำหรับเด็ก ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ดีกว่ายาปฏิชีวนะ ตรงที่ไม่เกิดการง่วงนอน ไม่เกิดการดื้อยา และยัง ป้องกันตับ จากสารพิษหลายชนิด เช่น จากยาแก้ไข้พาราเซตามอล หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม
แต่ต่อมา กระแสการกินยาสมุนไพรไทยก็จางลงไป แม้โรงงานผลิตยาสมุนไพรไทย ศิริราช จะได้รับรองมาตรฐาน "GMP" หวังสร้างความมั่นใจฟื้นแพทย์แผนไทย
ทั้งนี้"หมอศิริราช" ชี้บทบาทรักษาโรคยังไม่เป็นจริง ตัวเลขการใช้สมุนไพรไทยไม่ถึง 5% เหตุคนไม่มั่นใจและคนไม่มี



ความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพร รวมทั้งไม่มียาให้ รพ.ต่างๆพอ
เมื่อ24-06-2553 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มอบเกียรติบัตร GMP (Good Manufacturing Practice) ให้กับ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันท์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เพื่อรับรองมาตรฐานการผลิตยาสมุนไพรกว่า 100 รายการของสถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

คุณหมอธีรวัฒน์ฯกล่าวว่า เรามุ่งเน้นสอนแพทย์แผนไทยที่มีความรู้จริงในเรื่องสมุนไพรไทย และมีการเปิดคลินิกอายุรเวทขนาด 19 เตียง รับรักษาเฉพาะผู้ป่วย และจ่ายยาตามคำสั่งแพทย์ ซึ่งโรงงานผลิตยาของเราจะผลิตยาเพื่อใช้รักษาคนไข้ของเราเองไม่ได้มุ่งเน้นการผลิตเพื่อจำหน่า
ย โดยขณะนี้มียาตำรับ 6 รายการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนยา ซึ่งสามารถผลิตเพื่อจำหน่ายได้ ประกอบด้วย สหัสธารา สรรพคุณเป็นยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ยาหอมเบอร์ 20 รูปแบบผงและเม็ด ใช้บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน, โรมเบอร์ 64, น้ำมันว่าน และยาหม่อง
 เป้าหมายของ สธ.ต้องการให้คนไทยหันมาใช้สมุนไพรร้อยละ 5
แต่ที่ตัวเลขการใช้ยังไม่ถึงร้อยละ 5 มองว่า เพราะประชาชนยังไม่มั่นใจ ไม่มีผู้ที่มีความรู้เป็นผู้ใช้ ต้องมีแพทย์ที่มีความรู้ไปตรวจอาการโรคแล้วใช้ยาสมุนไพรไทย เพื่อให้คนไข้มีความศรัทธาในตัวยามากขึ้น
คือสรุปว่า แพทย์เองถ้าไม่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรไทยอย่างแท้จริง คนไข้ก็ไม่ศรัทธาในตัวยา และยิ่งประกอบกับ ยามีไม่พอแก่ความต้องการ คนก็หันไปทางยาแผนปัจจุบันกันส่วนใหญ่ 
ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ มียาให้ใช้ รวมทั้งผู้บริหารระดับนโยบายก็ต้องสนับสนุนด้วย
http://www.thaipost.net/news/240610/23966

ศิลาจารึกจดหมายเหตุวัดพระเชตุพนฯ จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเอกสารมรดกความทรงจำของโลกในส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี พ.ศ.2552

แม้เวลาจะผ่านไป 178 ปีแล้ว  นับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ พระอารามหลวงประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อพ.ศ. 2373  วัดพระเชตุพนฯก็ยังคงเป็นแหล่งเรียนรู้สรรพวิทยาอย่างมั่นคงตลอดมา  ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก  ที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก จึงเสนอคณะกรรมการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือยูเนสโก (UNESCO) พิจารณาขึ้นทะเบียนจารึกวัดพระเชตุพนฯ เป็นมรดกความทรงจำของโลกในปีพ.ศ. 2552

เนื่องจากองค์ความรู้ของจารึกดังกล่าวมีความสำคัญระดับสากล และมีวิชาหลากหลายที่เป็นสากลด้วย โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์แผนโบราณ การบริหารกายเพื่อบำบัดโรค เช่น ตำราแพทย์ วิชาฤาษีดัดตน เป็นต้น
จากนั้นก็รีบเข้าไปนมัสการ พระพุทธไสยาสซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.๓ ทรงสร้างขึ้นครั้งทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน  เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕
การปฏิสังขรณ์ครั้งนั้น ได้โปรดฯให้ขยายเขตพระอารามออกไปทางทิศเหนือ
แล้วโปรดฯให้สร้างพระพุทธไสยาสขึ้น ป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ด้านพระพักตร์สูง ๑๕ เมตร  มีความยาวตลอดทั้งองค์ถึง ๔๖ เมตร  พื้นพระบาทประดับด้วยมุกไฟเป็นภาพมงคล ๑๐๘ พระพุทธไสยาสองค์นี้ได้รับการขนานนามว่า เป็นพระพุทธไสยาสองค์ใหญ่ ที่มีความงดงามที่สุดในประเทศไทย
ยังมีเรื่องราวในรายละเอียดอีกมาก ขอเชิญอ่านต่อที่...
http://gotoknow.org/blog/goodliving/173034

http://www.watpho.com/th/home/





วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ถ้าจะตั้งใจจะลดน้ำหนักกันจริงๆแล้ว ทำไม รู้สึกว่าผู้ชายจะลดน้ำหนักได้ง่ายกว่าผู้หญิง

อาจจะเพราะธรรมชาติของเพศชายมีความมุ่งมั่น มากกว่าเพศหญิงหรือเปล่า…
เหตุผลแรกที่ผู้ชายดูจะลดน้ำหนัก ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ….แต่ถ้ามาพิจารณากันจริงๆ น่าจะมีเหตุผลดังต่อไปนี้..คือ..1.ผู้ชายมี เปอร์เซ็นต์ของ กล้ามเนื้อที่เรียกว่า lean muscle มากกว่า
และกล้ามเนื้อชนิดนี้ มีไขมันน้อยกว่า ผู้หญิง ซึ่งหมายความว่า ผู้ชายมีระบบการเผาผลาญที่ว่องไวกว่าผู้หญิง
2…เป็นเรื่องทาง จิตวิทยา ผู้ชายมักไม่ค่อยกินจุบกินจิบ ไม่ค่อยจะหิวบ่อยเหมือนผู้หญิง สำหรับผู้ชาย…..ส่วนใหญ่อาหารคือ สิ่งที่กินเข้าไปเพื่อเป็นพลังงาน ไม่ใช่เพราะมีอารมณ์อยากจะกินโน่นนี่บ่อยๆ เท่าใดนัก ดังนั้น เมื่อตัดสินใจจะลดน้ำหนัก จึงสามารถใจแข็ง ลดอาหารที่ทำให้อ้วนได้มากกว่า
แต่มีความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า ถ้าสามารถลดน้ำหนักได้เร็วเท่าใด โอกาสที่จะกลับมาอ้วนใหม่มีสูงมากและเร็วด้วย ทางที่ดีที่สุดคือ ค่อยๆลดแต่ ให้ยั่งยืนจะดีกว่า

เมื่อลดน้ำหนัก ไปได้สักพัก บางคนชักจะรู้สึกว่า ทำไมน้ำหนักลงช้านัก ควรตรวจสอบ เรื่องเครื่องดื่ม เช่น น้ำผลไม้ น้ำปั่นต่างๆ และที่สำคัญที่สุดคือ พวกแอลกอฮอลล์ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ น่าจะดื่มน้ำแทนที่ จะดีกว่า
บางคน มักจะเคยชินในการให้รางวัลตัวเอง ด้วย ขนม ช็อกโกแล็ต ต่างๆ ซึ่งถ้าอยู่ในระหว่าง ช่วงเวลาการลดน้ำหนักแล้ว ต้องตัดออกไปอย่างเด็ดขาด

คนเราไม่น้อย ที่ไม่ชอบออกกำลังกันเท่าใด ไหนจะเหงื่อเหนียวไปหมด ไหนจะ มีความไม่สะดวกบางประการขึ้นมาด้วย แต่ มันก็คือ ความจำเป็นของคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ที่ต้องมาควบคู่กับ การควบคุมอาหาร

มีการศึกษามาว่า ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ถ้าสามารถหาเวลาออกกำลังได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ จะสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ หรือมิฉนั้น ก็ต้องเคลื่อนไหวตัวเอง ให้ได้ 420 นาที ต่อสัปดาห์ จึงจะเห็นความก้าวหน้าในการลดน้ำหนักได้
เมื่อสามารถลดน้ำหนักลงมาได้ ตามเกณฑ์ที่ต้องการแล้ว ก็ต้องพยายามให้ยั่งยืนต่อไปด้วย โดย ออกกำลังสม่ำเสมอ และไม่กินอาหารเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายจะใช้ได้หมด คนเรา เมื่อพลังงานที่ได้รับจากอาหารสมดุลกับพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน  ไม่เหลือสะสมในรูปไขมัน ก็ไม่ต้องกังวลกับตัวเลขว่าต้องกินวันละกี่กิโลแคลอรี่

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สีเขียวของสนามหญ้าเป็นสิ่งจรรโลงใจชั้นยอด


สีเขียวของสนามหญ้าลมพัดรวยรินและแสงแดดอ่อนๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเช้า   เป็นแหล่งที่ให้ทั้งความสดชื่นของกายและใจ ความสงบเย็นแต่เต็มไปด้วยพลังเต็มเปี่ยมเหมือนชาร์ตแบตเตอรี่ไว้เต็มที่ พร้อมที่จะสามารถออกไปโลดแล่นประกอบธุระหรือมีกิจกรรมอื่นใดนอกบ้านได้ทั้งวัน
แม้เมื่อยามบ่ายหรือยามเย็น เหนื่อยจากงาน เมื่อมาเดินเล่นพักผ่อนที่สนามเขียวๆแห่งนี้ ต่อให้เหนื่อยทั้งกายและใจ ก็จะบรรเทาได้จนหมดหรือเกือบหมด ที่นี่คือ Home Sweet Home ที่แท้จริง
ช่วงนี้ เป็นหน้าฝน  เป็นจังหวะที่ดีในการจะปรับปรุงสนามหญ้าและปรับเปลี่ยนแปลงดอกไม้บ้าง
จึงเริ่มให้คนในบ้านช่วยกันถอนวัชพืช ที่แซมๆในสนามหญ้าออกให้หมด อย่างสะอาดจริงๆ ใช้เวลา 1 วันเต็ม ซึ่งในการนี้ จะไม่ใช้สารเคมีเลย เพราะจะเป็นสารพิษตกค้างและทำลายสิ่งแวดล้อม
พรวนดินตรงที่หญ้าตาให้ร่วนซุย ตรวจสอบความเป็นกรดด่างของดิน โดยจะให้ไปซื้อชุดตรวจสอบมาจากร้าน ชนิดที่ใช้น้ำยาเปลี่ยนสี ถ้าค่าความเป็นกรดสูง คือpH 4-6 จะโรยปูนขาว ประมาณ 1 ถุง/พื้นที่ 80 ตร.ม. ตามที่ร้านแนะนำมาก็ได้ ถ้าเป็นดินทราย จะลดปริมาณลงครึ่งหนึ่ง ถ้าใส่ปูนขาวมากไป จะกลายเป็นวัชพืชจะเติบโตดี

 ก่อนจะโรยปูนขาว และปุ๋ยคอก จะให้นำทรายไปเกลี่ย ที่ๆจะปลูกหญ้า โดยใช้ไม้ปาดให้ได้ระดับดี แกะแผ่นหญ้าที่ไปซื้อที่ร้านมาออก โดยเลือกแผ่นหญ้าขึ้นเต็มแน่น มีวัชพืชปนมาน้อย ไม่ขาดวิ่น มีต้นหญ้าและรากติดอยู่ ขนาดของแผ่นหญ้าคือ 50*50 ซ.ม.วางแผ่นหญ้า ให้ขอบชิดกันพอดี หรือห่างกัน 1 ซ.ม. ใช้ลูกกลิ้งเล็กๆ ที่มีประจำบ้านอัดให้แนบสนิทกับพื้นทั้ง 4 ด้าน หรือจะใช้ไม้ทุบก็ได้ บริเวณโคนต้นไม้ ควรปูให้ชิดโคน แล้วตัดออกเป็นรูปวงกลม ปูเสร็จแล้ว รดน้ำให้ชุ่ม รดบ่อยๆ ถ้าฝนไม่ตก วันละ 2-4 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ แล้ว รดวันละครั้งให้ชุ่ม เมื่อหญ้าขึ้นงามติดแน่นดี ก็เรียกว่า โครงงานนี้สำเร็จแล้ว ควรรดน้ำสนามหญ้าวันละครั้ง ไม่ต้องชุ่มมากไป


สังเกตได้ว่า ถ้าหญ้าได้น้ำพอดีๆ หญ้าจะคืนตัว ไม่แบนไปตามรอยเท้า และควรตัดหญ้าอาทิตย์ละครั้ง ตัดออกไม่เกิน 1 ใน 3 ของความยาวของต้นหญ้า ถ้าตัดจนเกรียนมากไป หญ้าจะเฉาและอ่อนแอ การให้ปุ๋ย ควรใช้สารอินทรีย์ ประโยชน์ที่ได้รับจะคงทนมากกว่าสารสังเคราะห์

ส่วนการตัดหญ้า ควรตัดในขณะที่หญ้าแห้งแล้วต้องเก็บเศษหญ้าออกให้หมด จะได้ไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา เชื้อราจะมีชีวิตอย่ในเศษหญ้าได้หลายเดือนทีเดียว โรคของสนามหญ้า ส่วนใหญ่ มาจากเชื้อรา โดยหญ้าจะมีจุดช้ำและแห้งเหลือง ไม่ช้าจะกลายเป็นสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆ รากและเหง้าก็อาจเน่าไปด้วย
การดูแลสนามหญ้าเป็นการออกกำลังไปในตัวอย่างวิเศษที่สุดอย่างหนึ่งด้วย  สนามหญ้าในบ้านของเรา เราดูแลเองได้