บล็อกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้ที่อยู่ในความสนใจ

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารออร์แกนิค

อาหารออร์แกนิคคือ…

อาหารออร์แกนิคเป็นอาหารที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตค่ะ

ถ้าเป็นออร์แกนิคแบบเกษตรอินทรีย์ ก็จะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 6 ปี ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการเพาะปลูกต้องไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เรียกได้ว่าเป็นพืชผักที่โตมาแบบวงจรธรรมชาติ ดังนั้นผลผลิตที่ได้เป็นผลผลิตที่มาจากการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ รสชาติดี มีวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนค่ะ

จากผลการวิจัยจำนวน 41 ชิ้นโดย The Soil Association ประเทศอังกฤษ ในปี 2544 พบว่าพืชที่ปลูกโดยวิธีออร์แกนิคจะมีวิตามินซี แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสสูงกว่าพืชที่ปลูกโดยใช้กระบวนการที่มีสารเคมีค่ะ

ส่วนปศุสัตว์แบบออร์แกนิค ก็จะเริ่มแต่ขั้นตอนการเลี้ยง สัตว์จะมีอิสระเสรี วิ่งได้ตามธรรมชาติ และหญ้าหรืออาหารที่ใช้เลี้ยงก็จะไม่มียาฆ่าแมลง และไม่มีการให้อาหารสำเร็จรูปค่ะ

แม่ท้อง..กับออร์แกนิค

Mr.Edward Jay Salmon : Research Director of Tustin Longevity Center (California) กล่าวว่าบุคคลปัจจุบันคนเรามีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่า 15,000 ชนิด ทั้งจากอาหาร น้ำดื่ม อากาศ สิ่งแวดล้อมซึ่งล้วนเต็มไปด้วยสารพิษ ทั้งพิษจากโลหะหนัก สารตะกั่ว พลาสติก กระบวนการปิโตรเคมี รวมทั้งภาชนะที่ใส่อาหาร ฯลฯ

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันส่งผลต่อสุขาพอย่างเห็นได้ชัด โดยดูจากอัตราการเกิดโรคและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมาเด็กอเมริกันทุกวันนี้เป็นโรคมะเร็ง ออทิสติก และหอบหืดเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราส่วนของเด็กที่เป็นออทิสติกเพิ่มขึ้น จาก 1 : 2,000 คน เป็น 1 : 66 คนทีเดียว

จากตัวเลขดังกล่าวบอกได้ว่า พิษภัยของสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม ทำให้ร่างกายเป็นแหล่งสะสมสารพิษ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และจนมาถึงช่วงของการตั้งครรภ์ แม่ก็จะมีสารพิษสะสมอยู่ในร่างกายรวมทั้งมดลูกด้วย ซึ่งสารพิษเหล่านั้นก็ส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยค่ะ

และการที่คุณแม่ได้รับสารพิษพวกนี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากๆ ก็จะส่งผลทำให้มีพิษในเลือดปริมาณมาก พิษเหล่านี้อาจไปทำปฏิกิริยาหรือส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ค่ะ

แต่หากคุณแม่มีการดูแลร่างกายตั้งแต่ก่อนและขณะตั้งครรภ์ โดยมีการล้างพิษออกจากร่างกาย ด้วยวิธีการที่ได้รับการรับรองจากการแพทย์ เพื่อกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายเพื่อให้ร่างกายสะอาด ด้วยการรับประทานอาหารออร์แกนิคตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น ออทิสติก หอบหืด ภูมิต้านทานบกพร่อง มะเร็ง ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยก็จะลดน้อยลงและตัวคุณแม่ก็จะแข็งแรงด้วยค่ะ



คุณแม่ออร์แกนิค - คุณสิริรัตน์ พิลาคง

เป็นคุณแม่ที่ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคค่ะ เธอเป็นคนที่สนใจเรื่องสุขภาพมานานแล้ว เริ่มรับประทานอาหารปลอดสารพิษมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอมีครอบครัว มีลูก ก็ต้องดูแลตัวเองและครอบครัวมากขึ้น โดยคุณสิริรัตน์เล่าให้ฟังว่า

“หลังจากได้รู้จักออร์แกนิค ก็เริ่มศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าออร์แกนิคคืออะไร มีอะไรบ้าง วัตถุดิบเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรแล้วก็ลองนำมาใช้เลยค่ะ

เพราะเวลาที่เราไปซื้อผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาด ก็จะมีส่วนหนึ่งที่เป็นสารเคมีเข้ามาด้วย แต่ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ปราศจากสารเคมี 100% ตั้งแต่กระบวนการเตรียมดิน การผลิต การใช้แรงงานคน การบรรจุ หรือแม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ที่ใช้จะไม่มีมลพิษสิ่งแวดล้อม เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ ทำให้รู้สึกว่าถ้าได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีกับตัวเรา ดีกับลูกเรา แล้วยังดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

คิดว่าการที่เราจ่ายเงินไปเพียงเล็กน้อย แต่ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปนเปื้อน ซึ่งในระยะยาวอาจจะทำให้เจ็บป่วย หรือเป็นโรคโดยที่เราไม่รู้ตัว คงไม่คุ้มหรอกค่ะ สู้ยอมเสียเงินมากกว่าหน่อย แต่ได้สิ่งที่ดีกลับคืนมาสู่ตัวลูกและตัวเราดีกว่าค่ะ

อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับเราซื้อของด้วยความรู้สึกสบายใจ จะมีความสุขกับการใช้ของสิ่งนั้น อเราได้ของที่ใช้แล้วปลอดภัยเราก็มีความสุขค่ะ

ตลอดการตั้งครรภ์ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย สุขภาพแข็งแรงดีทั้งแม่ทั้งลูกค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับเด็ก และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนด้วยค่ะ”

แม้ว่าจะยังไม่มีการวิจัยถึงผลดีของการกินอาหารออร์แกนิคต่อสุขภาพออกมาอย่างชัดเจน ในเชิงของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งจะต้องมีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพ ไม่ใช่อาหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่จากผลการวิจัยที่ได้จะเป็นการวิจัยที่ได้จากการสังเกตกลุ่มคนที่กินอาหารออร์แกนิค หรือเรียกว่าเป็นการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ ซึ่งผลที่ได้ก็เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพของคนเราค่ะ

สำหรับคนเป็นแม่ อะไรที่บอกว่าดีต่อสุขภาพมีหรือจะไม่สนใจ เพราะฉะนั้นออร์แกนิคก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคุณแม่ออร์แกนิคหรือไม่ก็ตาม นอกจากดูแลเรื่องสุขภาพกายแล้วก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพใจด้วยนะคะเพื่อเจ้าตัวเล็กจะได้สมบูรณ์แข็งแรงทั้งกายทั้งใจค่ะ



[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 23 ฉบับที่ 276 มกราคม 2549 ]



**ต้องขอบคุณพี่หน่อย Health me shop ด้วยนะคะ ที่ส่งเรื่องนี้มาให้กับทางเครือข่ายตลาดสีเขียวได้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภค
http://www.thaigreenmarket.com/greenconsumerpage.php?id=68

Cancer Foods

Cancer Foods
อาหาร Fast Food จากต่างประเทศอันตราย บริโภคแล้วเป็นมะเร็ง

Fast Food จากต่างประเทศ มีไขมันทรานส์ (Trans Fat) เป็นจำนวนมาก

ไขมันทรานส์ จะเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลว และ ลดระดับของโคเลสเตอรอลชนิดดีให้ลดลง

ไขมันทรานส์ เป็น ไขมันที่ทำให้ ผนังเส้นเลือดจะสะบักสะบอม เต็มไปด้วยคราบไขอุดตัน

Big Mac แฮมเบอเกอร์ มีไขมันทรานส์ 1.5 กรัม

เฟรนช์ฟราย (french fries) ขนาดใหญ่ 170 กรัม มีไขมันทรานส์ 8 กรัม

ไขมันทรานส์ มีใน "อาหารสำเร็จรูป จากต่างประเทศ" และ "Fast Food จากต่างประเทศ"

Fast Food จากต่างประเทศ บริโภคแล้วเป็นมะเร็ง

(1.) แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุงทำให้มี “แบคทีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส”(MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ผู้บริโภคอ้วนขึ้นด้วย

มีสารอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท


(2.) ไก่ทอด - เนื้อนุ่มไร้กระดูก

เป็นเมนู ที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลัง งาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี “สารอะลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย

(3.) พิซซ่า

“พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิด คือ…..1.”เนยแท้”(cheese) เพียง 10% เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย…..2.”แป้ง” ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโม เลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…..3.”ซอสมะเขือเทศ” ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…..4.”แป้งสาลี” ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม…..5. มี “น้ำมันฝ้าย” ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสาร พิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณะสุข ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภค ได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี “สารอะคริลิไมด์” เกิดขึ้นด้วย ขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน

(4.) เฟร้นช์ฟราย- มันฝรั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝรั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก…..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็ว มาก

(5.) โดนัท

โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุ มูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดี และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

6.) ไอศกรีม

มีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง



(7.) ฮอทด็อก



เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ และ “ฮอทด็อก” ทั้ง หมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อก ก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำ ไปปิ้งย่าง มันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และ “ทำลายประสาท” นอกจากนี้

ไส้กรอก และ หมูแฮม ยังทำให้คนที่บริโภค เข้าไป เกิดโรคอ้วนด้วย

(8.) น้ำอัดลม

สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน”

นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Diet soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขณะที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลม ยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” ด้วย



25 กันยายน 2553 14:29:40

“หนึ่งทศวรรษ วิถีชีวิต วิธีสู้ : ขบวนการประชาชนร่วมสมัย”

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20100917/353618/ผาสุกชี้กองทัพขวางพัฒนาการเมือง-ปฏิรูปส่อเหลว.html
นักวิชาการระบุกองทัพโดดสู่อำนาจหลัง2549 เสนอลดอำนาจ ชี้โจทย์ใหญ่ดึงพลังแดง-เหลืองเข้าสภา ติง"คณิต"มีโพยไม่หาความจริง เมินปฏิรูปแก่หน้าเก่า

วันที่ 17 กันยายน 2553 ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “ทบทวนขบวนการเคลื่อนไหวในประเทศไทย” โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวปาฐกถาหัวข้อ“หนึ่งทศวรรษ วิถีชีวิต วิธีสู้ : ขบวนการประชาชนร่วมสมัย”
มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า ขบวนการเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นสงครามความคิดและสงครามแย่งชิงมวลชน จุดเริ่มต้นเป็นเพียงความขัดแย้งของบรรดาส่วนหัวของชนชั้นนำ


พรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้อยู่ในอำนาจ และพยายามไม่ให้ทักษิณอยู่ในอำนาจได้อีก แต่ความขัดแย้งดังกล่าวไปไกลกว่ากลุ่มชนชั้นนำ ทักษิณได้กลายเป็นตัวแทนของพลเมืองระดับล่างที่ต้องการสังคมที่ไม่เลือกปฏิบัติ พลังพลเมืองตรงนี้ผลักดันให้"ทักษิณ"กลายเป็นนักการเมืองแนวประชานิยม เหมือนเกิดขึ้นในประเทศกลุ่มละตินอเมริกา แต่เป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทย "ทักษิณ"ผันตัวเองเป็นนักการเมืองประชานิยม อ้างอิงความชอบธรรมจากแรงสนับสนุนของประชาชน

เธอกล่าวอีกว่า ทักษิณกลายเป็นคบไฟให้มวลชนได้ใช้เสียงเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือปรับปรุงชีวิตของพวกเขา แต่ความเชี่ยวจัดในการใช้ประชานิยมเข้าสู่อำนาจประกอบกับความมั่งคั่งมหาศาล ทำให้คนชั้นกลางต้องการยึดโยงกับสถาบันดั้งเดิม คือ กองทัพ และพระมหากษัตริย์ เพื่อทดแทนกับจำนวนอันน้อยนิดของกลุ่มตนเมื่อเทียบมวลชนระดับล่างและกลางที่สนับสนุนทักษิณ

"การระดมมวลชนของคนเสื้อเหลืองได้ขยายจำนวนคนเสื้อเหลือง ท้ายที่สุดความขัดแย้งในกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันเองได้ขยายขอบเขตระหว่างการเคลื่อนไหวเพื่อหาผู้สนับสนุนสองขบวนการที่ต่างกัน
ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้า ว่าขบวนการเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เป็นสงครามความคิดและสงครามแย่งชิงมวลชน"

นักวิชาการสตรีกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของขบวนการส่วนหัวของชนชั้นนำ และขบวนการสังคมที่ก่อตัวขึ้น โยงเข้าด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยมี"ทักษิณ"เป็นตัวเชื่อม
เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น เพราะทักษิณมีบุคลิกเป็นคนหลายแพร่งซึ่งขัดแย้งในตัวเอง
แพร่งหนึ่ง เขาอาจเป็นคนนิยมความสมัยใหม่เป็นนักธุรกิจที่ผันตัวเองเป็นนักการเมืองประชานิยม
อีกแพร่งหนึ่ง เขาเป็นบุคคลที่หยามเหยียดประชาธิปไตยเป็นที่สุด แต่ได้กลายเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตย
อีกแพร่งหนึ่ง เขาโกงกินภาษีประชาชนได้อย่างหน้าตาเฉย อีกทั้งหาประโยชน์จากระบบสองมาตรฐานตลอดเวลา แต่ประวัติศาสตร์ก็เต็มไปด้วยบุคคลที่มีบุคลิกแบบนี้ และ"ทักษิณ"ไม่ใช่คนเดียวที่มีบุคลิกแบบนี้

"เรื่องสำคัญคือทำอย่างไรจะให้สงครามทางความคิดและสงครามการแย่งมวลชนหลุดออกจากถนน และเข้าไปสู่กรอบกติกาทางการเมืองที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ในระบบรัฐสภา
ซึ่งเรายังมีประสบการณ์เรื่องนี้ไม่มากพอ เพราะถูกรบกวนโดยพลังนอกรัฐสภาอยู่เสมอ
โดยเฉพาะการรัฐประหารที่เกิดขึ้นครั้งใด ทำลายกระบวนการเรียนรู้ที่ได้สั่งสมมา และย้อนสู่ระบอบเดิมที่ความสัมพันธ์เหลวเละกลับมาตลอดเวลา
อุปสรรคสำคัญของการพัฒนาสังคมนั้นเกี่ยวโยงกับบทบาทกองทัพในการเมืองไทย สถาบันอื่นๆ ได้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่กรณีของกองทัพการรัฐประหาร 2549 ทำให้กองทัพได้เข้ามายืนอยู่ในฐานของอำนาจอย่างเป็นทางการและมีสถาบันรองรับ คือรัฐธรรมนูญ 2550"

ศ.ดร.ผาสุก กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องความกลัวพลังราษฎร ของชนชั้นกลางและชนชั้นนำบางส่วนที่พยายามยึดติดระบบคณาธิปไตยแบบเดิมๆ ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของตัวเอง แต่ถ้าคิดในทางบวก การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้น เพราะว่าไม่มีเกมเป็น zero sume game ที่จะเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง อาจจะต้องตายไปครึ่งประเทศ ซึ่งจะเป็นความเสียหายอย่างมหาศาล

ดังนั้น อยากเสนอว่าเราต้องเปลี่ยนจาก zero sume game มาเป็นเกมที่จะต้องคิดไปด้วยกันและตกลงกันจะใช้กติกาอะไรเป็นทางออกของการเมือง ขณะนี้จึงเป็นเรื่องทั้งสองฟากจะพัฒนาสู่พรรคการเมืองข้ามพ้นทักษิณ และ ข้ามพ้นการเมืองที่ใช้เงินจำนวนมาก แม้จะมีกลุ่มเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของการเลือกตั้งอีกต่อไป ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ต้องการการพิสูจน์ และต้องหาทางออกให้กองทัพได้ลดบทบาทของตัวเองอย่างสง่างาม

ชี้ปฏิรูปเหลวถ้ามองข้าม 91ศพ-ไม่หวังบอร์ดแก่หน้าเก่าๆ

ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ให้สัมภาษณ์อีกถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิรูปและปรองดองว่า แม้จะมีคณะกรรมการหลายชุด แต่หัวขบวนไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน จะทำอะไรใหม่ๆ หรือจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธานนั้น คนหมดศรัทธาไปแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้นายคณิตเคยทำหน้าที่ค้นหาความจริงหลายกรณี เช่น เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 แต่ไม่เคยสำเร็จ สังคมไม่เคยได้ความจริงที่น่าพอใจ ทั้งที่กรรมการชุดนี้คือหัวใจของการปฏิรูป
ต้องหาความจริงให้ได้ถึงการตายของ 91 ศพใครลงมือทำ จะบอกเป็นกองกำลัง"ชุดดำ"คงไม่เพียงพอ แต่ปรากฎว่าตั้งขึ้นได้ไม่นาน นายคณิตกลับบอกว่าการทำงานมีขอบเขตมาก ทำให้คิดได้ว่านายคณิตมีโพยจากใครไม่ให้ค้นหาความจริงหรือไม่

ศ.ดร.ผาสุก กล่าวอีกว่า ส่วนคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ชุดนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน บอกจะขจัดความเหลื่อมล้ำนั้นจะช่วยแก้ความขัดแย้งได้ในระยะยาว เพราะมีหลายมิติทั้งเรื่องทรัพยากร ที่ดิน ภาษี เรื่องศักดิ์ศรีมนุษย์จะมีการแก้หรือไม่ ซึ่งต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้อย่างไร
แต่วันนี้ความเหลื่อมล้ำเป็นแค่วาทกรรม โดยมองกันว่าหากแก้ความเหลื่อมล้ำแล้วจะแก้ปัญหาอื่นได้ทั้งหมด ทั้งที่ความจริงแล้วปัญหาลึกกว่านั้น

เพราะเป็นเรื่องของการเมืองและเรื่องอำนาจ ถ้าแก้แต่เรื่องความเหลื่อมล้ำแล้วละเลยเรื่องการเสียชีวิตของ 91 ศพก็แก้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นบาดแผลลึกในสังคม ไม่ได้แก้ด้วยการปฏิรูปที่ดินมันคนละเรื่องกัน ต้องทำเรื่อง 91 ศพให้ความจริงปรากฎ หากต้องรับผิดก็ไม่ควรลูบหน้าปะจมูก เพราะมีการตายแบบนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ใช่บอกให้ลืมกันไป เพราะเรื่องการเสียชีวิตถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตคงรับไม่ได้

"กรรมการที่ตั้งขึ้นปฏิรูปในปัจจุบันยังไม่มีตัวแทนที่มีความชัดเจนว่าเป็นคู่ขัดแย้งในสังคม จึงไม่อาจตอบโจทย์ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่คนที่สังกัดสี แต่ต้องเป็นคนรุ่นใหม่อายุราว 30-40 ปีที่มีความสัมพันธ์กับสีต่างๆ มีความเห็นกว้างขวางเข้ามาร่วมด้วย ไม่ใช่ใช้แต่คนสูงอายุคนหน้าเดิม ๆ ถือว่าเป็นพวกเดียวกันคุยได้ พวกอื่นไม่เอา เพราะสุดท้ายก็จะแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่สามารถสร้างพลังการปฏิรูปได้" ศ.ดร.ผาสุก กล่าว

Tags : ผาสุก พงษ์ไพจิตร • ปฏิรูปประเทศ

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553


16 กันยา วันโอโซนโลก

'World Ozone Day' 16 กันยายน วันแห่งการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน

ยิ่งอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ ชั้นบรรยากาศก็ยิ่งถูกปกคลุมไปด้วยก๊าซพิษมากขึ้นเท่านั้น
ทำให้ชั้นบรรยากาศต่างๆ ถูกทำลายลงโดยเฉพาะโอโซน (OZONE)
ที่ถือเป็นก๊าซที่พบมากในชั้นบรรยากาศของโลก
ทำหน้าช่วยกรองรังสีต่างๆ ดวงอาทิตย์ไม่ให้เข้าสู่โลกของเรา
จึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ แต่เมื่อ โอโซนถูกทำลาย
ก็ย่อมส่งผลต่อโลกของเรา
อาจทำให้โลกร้อนขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่างๆ ตามมามากมาย
ด้วยเหตุนี้มนุษย์โลกจึงหันมาใส่ใจกับการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
และได้มีการกำหนดให้วันที่ 16 กันยายน
เป็นวันโอโซนโลก (World Ozone Day) เพื่อเป็นการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน 

ความเป็นมา...ของวันโอโซนโลก World Ozone Day

ในช่วง 20 – 30 ปีที่ผ่านมาได้มีการนำสารเคมีซีเอฟซี
หรือคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC : chlorofluorocarbon)
จำนวนมากมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น
(เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ)
และอุตสาหกรรมการผลิตโฟม ทำให้มีซีเอฟซีระเหยขึ้นสู่บรรยากาศ
และไปทำปฏิกิริยากับก๊าซโอโซน ทำให้ก๊าซโอโซนถูกทำลาย
จนมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ซีเอฟซียังสลายตัวได้ยาก จึงตกค้างในบรรยากาศได้ยาวนาน
ทำให้ก๊าซโอโซนถูกทำลายได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เมื่อก๊าซโอโซนลดน้อยลง
ก็จะทำให้รังสีอุลตราไวโอเลตเข้าสู่พื้นโลกได้มากจึงเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก
โดยเฉพาะการเกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนัง ดังนั้นการกำหนดให้มีวันโอโซนโลกขึ้น
ก็เพื่อเป็นการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน 

นานาประเทศได้ร่วมกันจัดทำอนุสัญญาการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน
ขึ้นในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)
เรียกว่า "อนุสัญญาเวียนนา และพิธีสารว่าด้วยการเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน"
และจัดให้ลงนามใน "พิธีสารมอนทรีออล" ขึ้นใ
นวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ.1987 (พ.ศ. 2530)
เป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาเวียนนาฯ ดังนั้นองค์การสหประชาชาติ
จึงได้ประกาศให้วันที่ 16 กันยายน ของทุกปี
เป็น “วันโอโซนโลก” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา 

สาระสำคัญของอนุสัญญาเวียนนานับว่า เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ
ที่มุ่งมั่นในการพิทักษ์ชั้นโอโซน และเป็นเครื่องมือทางกฎหมายข้อแรก
ที่กลายเป็นรูปแบบของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน
ปัจจุบันมีประเทศที่ร่วมให้สัตยาบันแล้วรวม 191 ประเทศ
นั่นหมายถึง ชุมชนโลกส่วนใหญ่ ได้พร้อมใจกันที่จะพิทักษ์ชั้นโอโซน 

สำหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามในพิธีสารนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2531
และให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532
มีผลบังคับใช้ต่อประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 

ผลของพิธีสารในขั้นต้นสารเคมีที่ถูกควบคุม คือ
สาร CFC (Chlorofluorocarbon) รวม 5 ชนิดและสารฮาลอน (Halon) 3 ชนิด
รวมสารควบคุมทั้งสิ้น 8 ชนิด ซึ่งสารเหล่านี้ถูกใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท
เช่น สารทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใช้เป็นก๊าซสำหรับเป่าโฟม
และเป็นฉนวนในโฟม รวมทั้งใช้เป็นตัวทำละลายในการทำความสะอาด
ล้างคราบไขมันสิ่งสกปรกในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่สารที่อยู่ในกระป๋องสเปรย์
ส่วนสารฮาลอนใช้เป็นสารดับเพลิงในอุปกรณ์ป้องกัน และระงับอัคคีภัย
ซึ่งการใช้สาร CFC ก็มีมากในการอุตสาหกรรม
นั่นคืออุตสาหกรรมยิ่งพัฒนา ก็จะมีการทำลายโอโซนกันมากเท่านั้น 

เป้าหมายของการกำหนดวันโอโซนโลก 

1. เพื่อกระตุ้นให้ประเทศปฏิบัติต่ออนุสัญญา ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก 

2. เพื่อช่วยกันลดใช้สารซี เอฟ ซี และสารฮาลอน
ซึ่งเป็นตัวทำลายบรรยากาศโอโซนในชั้นบรรยากาศ 

เราจะทำอะไรเพื่อช่วยโลกได้บ้าง 

แม้จะมีสนธิสัญญาเพื่อลดและเลิกการใช้สารซีเอฟซีแล้ว
แต่สารซีเอฟซียังจำเป็นต่ออุตสาหกรรมบางชนิด จึงยังมีการใช้ซีเอฟซีกันอยู่อีกต่อไป
ก๊าซโอโซนก็ยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
จนส่งผลกระทบเป็นภาวะโลกร้อนอย่างที่มนุษย์เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้
เราในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของโลก จะสามารถช่วยลดสาร CFC ได้โดย 

1.เลือกซื้อ และใช้เครื่องปรับอากาศที่มีสัญลักษณ์ Non CFCs 

2.หมั่นตรวจเช็กระบบแอร์รถยนต์ในอู่ที่ได้มาตรฐาน
รวมหมั่นล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ้าน 

3.ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่งที่ปล่อยสาร CFC ที่จะออกมาทำลายชั้นโอโซนได้
ดังนั้นควรเปลี่ยนตู้เย็นที่ใช้มานานกว่า 10 ปี และไม่เปิดตู้เย็นบ่อย
เพราะจะทำให้ระบบทำความเย็นทำงานหนัก 

4.เลิกใช้อุปกรณ์ที่เป็นลักษณะกระป๋องสเปรย์ รวมทั้งวัสดุที่ทำจากโฟมทั้งหลาย
ซึ่งมีสาร CFC เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต และวัสดุเหล่านี้ยังย่อยสลายได้ยากอีกด้วย 

16 กันยายน 2553 จาก http://www.voicetv.co.th/content/21368

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

08-08-2553-สรุปการดีเบตระหว่างทีมท่านนายกฯกับเครือข่ายภาคประชาชน

เริ่มแล้ว! ดีเบตไทย-เขมร สดช่อง 11 “มาร์ค” หนีบ “สุวิทย์-ชวนนท์-ศิริโชค” 
คำต่อคำ “มาร์ค” ถกเครือข่ายภาคประชาชน ปัญหาข้อพิพาทพระวิหาร (ช่วงที่ 2
คำต่อคำ “มาร์ค” ถกเครือข่ายภาคประชาชน ปัญหาข้อพิพาทพระวิหาร ช่วงสุดท้าย

'มาร์คเผยแพร่บทความ

'ตอบ'MOU43'ทุกคำถามเวทีพันธมิตร

พระราชดำรัในวันเฉลิมฯ 4 ธันวาคม 2535 ภาษาไทย หน้า 24-27 ข้อพิพาทดินแดนไทย-พม่า-เนิน 491 ที่นายกฯอ้าง
สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจ ประชาชนคิดอย่างไร กับการชุมนุมประท้วง เขาพระวิหาร 

โดยพบว่า 41.09 % กลัวว่าจะก่อให้เกิดปัญหา ความขัดแย้งที่บานปลายขึ้น
46.77 % ไม่เห็นด้วยกับการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ เพราะกลัวว่าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่คนไทยกันเอง
31.10% เห็นว่าการออกมาชุมนุมครั้งนี้ ทำให้เกิดผลเสียมากกว่า เพราะทำให้สถานการณ์กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
64.16% อยากให้รัฐบาล ใช้การเจรจาขอความร่วมมือกับผู้ชุมนุม
30.2% ในฐานะคนไทย ขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาล หรือผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
"อภิสิทธิ์"ยกกระแสพระราชดำรัสแนวทางแก้ปัญหาชายแดน"ขอให้แก้ปัญหาฉันมิตร" กลางเวทีถกแก้ปัญหาพระวิหาร พร้อมวอนทุกฝ่ายหยุดทะเลาะกัน และหันหน้ามาช่วยกัน อย่าทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามหัวเราะเยาะ

พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงประเด็นที่นายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการรุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของดินแดนไทยนั้น การดำเนินการผลักดันใดๆ ก็ต้องรอคำสั่ง หรือนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลเสียก่อน 


 นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำของเครือข่ายฯ ขึ้นเวทีประกาศยุติการชุมนุมเครือข่ายประชาชนรักประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่า ขณะนี้กลุ่มมวลชนที่สนับสนุนยังมีจำนวนไม่เพียงพอ 

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก'จัดโดย'ฟอร์บส์

จาก Matichon Online: แบรนด์มูลค่าสูงสุดของโลก'จัดโดย'ฟอร์บส์'


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นิตยสาร"ฟอร์บส์"ฉบับล่าสุด ได้ทำการจัดอันดับบริษัทแบรนด์ดังมียี่ห้อการค้ามูลค่าสูงสุดของโลก 20 อันดับ ประกอบด้วย
1. Apple มูลค่า 57,400 ล้านดอลลาร์
2.Microsolf มูลค่า 56,600 ล้านดอลลาร์
3.Coca-Cola มูลค่า 55,400 ล้านดอลลาร์
4.IBM มูลค่า 43,000 ล้านดอลลาร์
5.Google มูลค่า 39,700 ล้านดอลลาร์
6.Mcdonald มูลค่า 35,900 ล้านดอลลาร์
7.General Electric มูลค่า 33,700 ล้านดอลลาร์
8.Marlboro มูลค่า 29,100 ล้านดอลลาร์
9.Intel มูลค่า 28,600 ล้านดอลลาร์
10.Nokia มูลค่า 27,400 ล้านดอลลาร์
11.Toyota มูลค่า 24,100 ล้านดอลลาร์
12.Cisco มูลค่า 23,900 ล้านดอลลาร์
13.Vodafone มูลค่า 23,500 ล้านดอลลาร์
14.HP มูลค่า 23,400 ล้านดอลลาร์
15.AT@T มูลค่า 22,000 ล้านดอลลาร์
16.BMW มูลค่า 19,900 ล้านดอลลาร์
17.Oracle มูลค่า 19,800 ล้านดอลลาร์
18.Louis Vuitton มูลค่า 19,000 ล้านดอลลาร์
19.Mercedes มูลค่า 18.800 ล้านดอลลาร์
20.Disney มูลค่า 18,500 ล้านดอลลาร์



ขอมมิใช่เขมร !?

ขอมมิใช่เขมร !
หลักฐานที่แสดงความยิ่งใหญ่ของขอมโบราณ ในปี ค.ศ.๑๒๐๐ นับเป็นชาติที่ร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากการปรากฎอยู่ของปราสาทนครวัดอันอลังการยิ่ง
      หากแต่การสร้างปราสาทนครวัด ก็คือการเริ่มต้นจุดเสื่อมของอาณาจักรแห่งนี้ ด้วยปัญหาการแก่งแย่ง แย่งชิงอำนาจในราชสำนัก เมื่อภายในอ่อนแอ ภายนอกก็ยากที่จะต้านทานศัตรูได้
 ในที่สุดพระนครหลวง หรือกรุงศรียโศธรปุระ ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าอู่ทอง พระราเมศวร และปิดฉากอาณาจักรขอมเมื่อพระเจ้าสยาม ยาตราทัพเข้าไปยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าธรรมโศกราช
      จากนั้น ขอมก็แตกกระจาย กลายเป็นชาติพันธุ์ที่สูญหายไปจากโลกนี้ ทิ้งไว้เพียงปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่บอกความศรัทธาที่ขอมเคยมีต่อความเชื่อในสายฮินดูและพราหมณ์ อันสืบทอดมาจากโกณฑัณญะ ปฐมกษัตริย์ ตั้งวางเรียงรายจากเสียมเรียบ ถึงพิมาย
      ขอมหาใช่เขมร ปราสาทหินพระวิหารก็ไม่ใช่ของเขมรหรือไทย ประสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เป็นสมบัติของโลก ของมนุษยชาติ และนั่นเป็นความหมายที่จริงแท้ที่สุด 

แฉ!หน่วยข่าวกรองปากีฯ ช่วยกบฏสู้ในอัฟกาฯ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

แฉ!หน่วยข่าวกรองปากีฯ ช่วยกบฏสู้ในอัฟกาฯ - ข่าวไทยรัฐออนไลน์


"วิกิลีคส์" แพร่เอกสารลับ ระบุหน่วยข่าวกรองปากีสถาน ช่วยเหลือกลุ่มหัวรุนแรง "ตาลีบัน" วางยุทธศาสตร์สู้ศึก สงครามกวาดล้างผู้ก่อการร้ายของทหารสหรัฐฯในอัฟกานิสถาน...

เว็บไซต์ขององค์กร “Wikileaks” (วิกิลีคส์) เผยแพร่เอกสารลับ 92,000 ชุดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เกี่ยวกับสงครามอัฟกานิสถานช่วงปี 2547-2553 เอกสารชุดหนึ่งระบุว่า ปากีสถานคอยช่วยเหลือกลุ่มหัวรุนแรงในอัฟกานิสถานรวมทั้งกลุ่มตาลีบันอย่างลับๆ ทั้งท่ีปากีสถานรับความช่วยเหลือมหาศาลจากสหรัฐฯ เพื่อให้ช่วยทำสงครามกวาดล้างผู้ก่อการร้าย

เอกสารของวิกิลีคส์ซึ่งถูกส่งถึงนสพ.นิวยอร์ก ไทม์ส ของสหรัฐฯ เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ และเดอ สปีเกล ของเยอรมนี ระบุว่า ผู้แทนหน่วยข่าวกรองระหว่างประเทศของปากีสถาน (ไอเอสไอ) ร่วมประชุมกับกลุ่มตาลีบันหลายครั้งเพื่อวางยุทธศาสตร์ต่อสู้กับทหารสหรัฐฯ ส่วนอิหร่านก็ลอบช่วยเหลือกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถานด้วย ทั้งด้านเงินทุน อาวุธ การฝึกอบรมและให้ท่ีพักพิง

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ แถลงประนามการเผยแพร่เอกสารลับนี้ว่า "ไร้ความรับผิดชอบ" อาจเป็นภัยต่อชีวิตทหารอเมริกันและความมั่นคงของสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะสหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยมานานแล้วว่าไอเอสไอมีสายสัมพันธ์กับตาลีบัน และยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อการทำสงครามอัฟกานิสถาน

ขณะท่ีนายฮูเซน ฮักกานี เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำสหรัฐฯ ก็ประนามการเผยแพร่เอกสารลับนี้ว่าไร้ความรับผิดชอบ และระบุว่าเป็นรายงานท่ียังไม่กลั่นกรองจากสมรภูมิรบ

การเผยแพร่เอกสารลับครั้งนี้มีขึ้นในขณะท่ีกลุ่มตาลีบันเผยว่าจับกุมทหาร อเมริกัน 2 นายท่ีพลัดหลงเข้าไปในเขตแดนของตนและสังหารทิ้งแล้ว 1 นาย

วันเดียวกัน มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 26 คน บาดเจ็บอีกกว่า 20 คนจากอุบัติเหตุรถบัสโดยสารพลิกคว่ำท่ีอ.ดามาน ใกล้เมืองกันดาฮาร์ ทางภาคใต้อัฟกานิสถาน.

2แพทย์ศิริราชคว้า2รางวัลนักวิทย์เด่นวิจัยหวัดนก

สองแพทย์ศิริราชพยาบาลควงคู่รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นปี 53 จากผลงานวิจัยไวรัสหวัดนกและโปรตีนวินิจฉัยโรคในระดับโมเลกุล นำไปสู่การพัฒนาเทคนิคใหม่เพื่อการรักษา รอรับพระราชทานรางวัล 9 สิงหาคม 2553
ผู้ได้รับรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ครั้งที่ 29 ประจำปี 2553 ได้แก่ ศ.นพ.ประเสริฐ เอื้อวรากุล และนพ.วิศิษฐ์ ทองบุญเกิด จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งสองเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษางานวิจัยขึ้นพื้นฐาน และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ
 "งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดนก ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า งานวิจัยสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับโรคที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น ซาร์ส ไข้หวัดนกและไข้หวัดใหญ่ องค์ความรู้ที่ได้จะนำไปสู่กลไกการป้องกัน เพราะความเสี่ยงของโรคอุบัติใหม่ยังคงมีอยู่ หากมีความรู้มากพอ ก็จะช่วยให้เราควบคุมโรคได้มากขึ้น

ในส่วนของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ประจำปี 2553 คัดเลือกได้ 6 คน ประกอบด้วย ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หรือสึนามิในไทย, ดร.ชนากานต์ พรมอุทัย คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่มมูลค่าข้าวเสริมธาตุเหล็กและสังกะสี, ดร.บรรจง บุญชม ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ศึกษาสารเคลือเซรามิกที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม,
 ดร.วีระวัฒน์ แช่มปรีดา ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ศึกษาการย่อยของเอนไซม์เพื่อผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ, ผศ.สอาด ริยะจันทร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้พัฒนายางธรรมชาติให้มีคุณสมบัติทนน้ำมัน และดร.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ จากการศึกษาอนุภาคนาโนเพื่อพัฒนาระบบนำส่งยา
http://www.komchadluek.net/detail/20100804/68810/2แพทย์ศิริราชคว้า2รางวัลนักวิทย์เด่นวิจัยหวัดนก.html

รวบรวมการแถลงข่าวชี้แจงกรณีปราสาทพระวิหารและจ.ม.จากเจ้าศรีสวัสดิ์ถึงนายกรัฐมนตรีไทย

http://www.mfa.go.th/web/2662.php?id=36257
เปิดจ.ม."เจ้าศรีสวัสดิ์"ที่ปรึกษากษัตริย์กัมพูชา ถึง"มาร์ค" พระวิหารสัญลักษณ์ปรองดอง 

แถลงการณ์"สุขุมพันธุ์" ยัน"เอ็มโอยู 2543" เครื่องประกันไม่ให้ไทยเสียดินแดน

หมายเหตุ - ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ ชี้แจงถึงกรณีการทำบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาหรือเอ็มโอยู ปี 2543 ขณะที่ เจ้าศรีสวัสดิ์ โธมิโก พระราชนัดดาในองค์สมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระราชบิดาในสมเด็จนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในองค์กษัตริย์กัมพูชา อันเป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ส่งจดหมายถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 2 สิงหาคม ขอให้ทั้งสองชาติสมานฉันท์กัน มีรายละเอียดดังนี้




เปิดจ.ม."เจ้าศรีสวัสดิ์"ถึง"มาร์ค" พระวิหารสัญลัปรองดอง
ปักกิ่ง 2 สิงหาคม 2553
เรียน ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย
ผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา
เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี

กรุณานำความขึ้นกราบบังคมทูลฯต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาทราบถึงความเคารพยิ่งและความปรารถนาในอันที่จะถวายพระพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงและมีรัชสมัยที่รุ่งเรืองยืนยาว
ข้าพเจ้าขอแสดงความชื่นชมมายัง ฯพณฯ และต่อบรรดาสมาชิกในคณะรัฐบาลของราชอาณาจักรไทย

ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมต่อการที่ราชอาณาจักรไทยประสบผลในการพัฒนาการอันน่าประทับใจอย่างยิ่งทั้งในทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการยึดมั่นในด้านการศึกษาอย่างเข้มแข็งอันเป็นรากฐานให้ประเทศเติบโต และข้าพเจ้ายังซาบซึ้งเป็นพิเศษต่อราชอาณาจักรไทยที่ได้แสดงบทบาทสำคัญในอดีตที่ผ่านมา เมื่อไม่นานมานี้ในการให้ความช่วยเหลือกัมพูชาจนสามารถฟื้นฟูอธิปไตยและนำไปสู่การยุติความขัดแย้งและทนทุกข์ทรมานนานสองทศวรรษลง

ชาวเขมรไม่มีปรารถนาอื่นใดนอกเหนือจากการเยียวยาบาดแผลในอดีตและดำรงชีวิตอย่างสันติ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของประชาคมนานาชาติ ประชาคมโลก และสมาชิกขององค์กรต่างๆ ในระดับภูมิภาค กัมพูชาปรารถนาที่จะบรรลุถึงพัฒนาการต่างๆ อย่างสมานฉันท์กับทุกๆ ประเทศ เพื่อทำนุบำรุงให้เกิดความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือซึ่งกันและกันกับทุกๆ ประเทศ และเหนือสิ่งอื่นใดกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดโดยตรงของเรา

ราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย มีประวัติศาสตร์อันยาวนานร่วมกัน แท้จริงแล้วไม่เพียงมีร่องรอยแห่งความขัดแย้งแต่ยังมีห้วงเวลาแห่งสันติที่ซึ่งการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างประเทศทั้งสองยังประโยชน์ใหญ่หลวงให้กับทั้งสองประเทศ เรามีอารยธรรม, วัฒนธรรม และศาสนา ร่วมกัน ไม่ว่าสิ่งใดๆ ที่แบ่งแยกระหว่างเราเอาไว้ ไม่อาจแข็งแกร่งเท่ากับสิ่งต่างๆ ซึ่งผูกพันเราเข้าไว้ด้วยกันแน่นอน

ด้วยเหตุผลทั้งหลายนี้ความเจ็บปวดในการได้เป็นประจักษ์พยานต่อการเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็วของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเราทั้งสองที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมาจึงมีสูงมากเป็นพิเศษ เป็นการง่ายที่ประชาชนของทั้งสองประเทศจะถูกปลุกปั่นด้วยโวหารของกลุ่มคนคลั่งชาติจำนวนน้อย แต่คุณค่าของสันติในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาควรทำให้เข้าใจกระจ่างด้วยว่า การอ้างสิทธิเหนือดินแดนซึ่งกลายเป็นกระแสนิยมและวาทกรรมทางการเมืองอย่างมากเมื่อไม่นานมานี้มีพื้นฐานใดๆ รองรับ

โดยข้อเท็จจริงแล้ว ประวัติศาสตร์ดังกล่าว ไม่ได้งดงามนัก แนวเขตแดนระหว่างประเทศของเราทั้งสองนั้นแท้จริงแล้วถูกกำหนดให้เราโดยมหาอำนาจเจ้าของอาณานิคม ซึ่งไม่ได้ให้ความเคารพอื่นใดนอกเหนือจากผลประโยชน์แห่งตนเท่านั้น ในขณะที่ราชอาณาจักรไทยไม่ได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ทั้งชาวเขมรและชาวไทยก็สามารถยึดถือได้ว่าพวกตนล้วนตกเป็นเหยื่อของเจ้าอาณานิคมในอดีตเหล่านี้

ข้าพเจ้าเข้าใจถึงความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนไทยต่อการบีบบังคับที่กระทำต่อพวกเขาโดยมหาอำนาจต่างชาติ ในฐานะเป็นชาวกัมพูชา ข้าพเจ้าไม่อาจลืมได้ว่า ชาร์ลส์ ทอมสัน ผู้สำเร็จราชการแคว้นโคชินไชน่า นำปืนมาจัดเรียงไว้ด้านหน้าพระราชวัง เพื่อบีบบังคับให้สมเด็จพระนโรดมสีหนุ ลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาอื้อฉาวเมื่อปี 1884 เช่นเดียวกันข้าพเจ้าก็ไม่อาจลืมได้ว่า สนธิสัญญา 1896 นั้น รับรองบังคับใช้โดยอังกฤษและฝรั่งเศสถือเป็นการหยามหมิ่นทั้งต่อกัมพูชาและไทย

การอ้างสิทธิเหนือดินแดนของคนไทยในปัจจุบันเหนือพระวิหารนั้น เป็นการใช้สภาพภูมิศาสตร์เป็นบรรทัดฐานในการอ้างความชอบธรรม ก็เป็นเช่นเดียวกับในปี 1954 คือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก เช่นเดียวกันกับการแสดงให้เห็นว่า สนธิสัญญาเขตแดนปี 1904 นั้น ไม่เป็นธรรมเพียงใด ทั้งนี้ เป็นความจริงที่ว่า ภูมิประเทศทางธรรมชาติต่างๆ เช่น ธารน้ำ แนวสันปันน้ำ แนวสันเขา เส้นลาดชันต่างๆ ล้วนนำมาใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างประเทศ แต่ขอให้ระลึกไว้เช่นกันว่า ข้อพิจารณาว่าด้วยชาติพันธุ์และภาษาก็ถือเป็นเกณฑ์สำคัญในเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

จากมุมมองนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า สนธิสัญญาเขตแดนปี 1904 ทำให้ชาวเขมรเป็นเรือนล้านต้องแยกจากมาตุภูมิ กัมพูชาถูกตัดแบ่งเป็นส่วนๆ และปล่อยให้อยู่ภายใต้อำนาจต่างชาติเป็นการดูแคลนความคาดหวังของประชาชนกัมพูชาอย่างเต็มที่ หากประเทศของเราทั้งสองอ้างอิงถึงความไม่เป็นธรรมในประวัติศาสตร์ ก็ควรจะเห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชาต้องแบกรับไว้มากกว่า

ต้องตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า ในยุคดังกล่าว สิทธิของประชาชนในอันที่จะเลือกวิถีของตนเองอย่างอิสระไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายระหว่างประเทศ กระนั้น ผลที่บังเกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ มีชาวเขมรเป็นจำนวนมากอาศัยอยู่ภายนอกประเทศรวมทั้งในไทยมากกว่าภายในดินแดนของกัมพูชาเอง หากหลักเรื่องชาติพันธุ์และภาษาถูกนำมาใช้ในการปักปันเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทย ผลที่ได้คงแตกต่างจากที่เป็นอยู่โดยสิ้นเชิง

ตัวอย่างของอดีตรัฐยูโกสลาเวีย ที่ถูกมหาอำนาจสร้างขึ้นอย่างจอมปลอมโดยไม่ให้ความสนใจความเป็นจริงในเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และชาติพันธุ์ นำไปสู่ความขัดแย้งในโครเอเชีย บอสเนีย และโคโซโว เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าการครอบงำบิดเบือนเหล่านั้นเปราะบางเพียงใดและผลลัพธ์นั้นเลวร้ายเพียงใด

ในแง่นี้ ตราบเท่าที่นำเอาความเป็นชาตินิยมสุดโต่งมาคำนึง กัมพูชาควรมีสิทธิเต็มเปี่ยมในการบอกเลิกสนธิสัญญาปี 1904 เพื่อให้สามารถนำเอาหลักว่าด้วยชาติพันธุ์และภาษามาร่วมพิจารณาด้วย หลังจากนั้น ก็จะไม่มีประเด็นเรื่องพระวิหารอีกต่อไป เพราะพระวิหารและพื้นที่โดยรอบจะอยู่ลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา อย่างที่เคยเป็น

อย่างไรก็ตาม นับแต่ได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ในปี 1953 ภายใต้การนำของเจ้าสีหนุในเวลานั้น กัมพูชาเพียงเรียกร้องขอให้เพื่อนบ้านทั้งหลายและประชาคมนานาชาติยอมรับโดยนิตินัย ถึงแนวเขตแดนตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาต่างๆ ในช่วงศตวรรษที่ 20 และเรื่องนี้ยังคงเป็นเช่นนี้ในปัจจุบัน กัมพูชาไม่เคยเรียกร้องอื่นใดนอกจากนี้

ประเทศของเราถูกกำหนดให้อยู่เคียงข้างกันและกัน เราต่างเป็นสมาชิกอาเซียน องค์กรของภูมิภาคซึ่งมีความปรารถนาจะเปิดพรมแดนระหว่างชาติสมาชิกเพื่อให้พลังแห่งการสร้างสรรค์เป็นอิสระและกลายเป็นที่มาของพัฒนาการอันยั่งยืน การหยิบยกเรื่องการกล่าวอ้างถึงสิทธิเหนือดินแดนถือเป็นความพยายามกระทำการเสมือนโฉบผ่านหน้าประวัติศาสตร์และเป็นอันตรายต่อประชาชนของเรา ด้วยการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรที่อาจหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในการพัฒนาและต่อสู้กับความยากจนของทั้งสองด้านแห่งแนวเขตแดนร่วมของเรา

ในฐานะชาวกัมพูชาผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าเชื่อว่าชาวเขมรนับล้านต่างรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ความปรารถนาที่สุดของข้าพเจ้านั้นคือ การที่ ฯพณฯ จักมองปราสาทพระวิหารว่าเป็นสัญลักษณ์อันยืนนานของความปรองดองระหว่างประเทศของเราทั้งสอง เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมานฉันท์ในความสัมพันธ์ระหว่างกัน ตลอดจนเป็นแบบอย่างของความร่วมมืออันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านสองประเทศ

ขอให้ท่านมั่นใจได้ว่าข้าพเจ้ายังให้การนับถือท่านอย่างสูง

(ลงนาม)   ศรีสวัสดิ์ โธมิโก

------------------------------------------------

แถลงการณ์"สุขุมพันธุ์" ยัน"เอ็มโอยู 2543" เครื่องประกันไม่ให้ไทยเสียดินแดน

บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาหรือเอ็มโอยูว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก ที่ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 นั้น เป็นเอ็มโอยูเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรีของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศที่มีเจตนารมณ์ตรงกันในเรื่องความจำเป็นที่ต้องจัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้น

เนื่องจากหลักเขตซึ่งจัดทำโดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสยามและประเทศฝรั่งเศสนั้นสูญหาย ชำรุด หรือ ถูกเคลื่อนย้ายในช่วงเวลาเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสงครามในกัมพูชาเป็นเวลากว่า 20 ปี

ทั้งนี้ การสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกนั้นเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน และในทางปฏิบัติมีอุปสรรคนานัปการในการดำเนินการ ดังนั้น วิธีดำเนินการที่ดีที่สุดคือ การดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญา เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบและประเด็นอ้างอิงในการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่

ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นข้อผูกมัดในเรื่องวิธีการดำเนินการเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อผูกมัดถึงผลของการดำเนินการ นอกจากนี้ บันทึกลงนามความเข้าใจหรือเอ็มโอยูนั้นประเทศไทยก็เคยทำกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศมานานแล้วคือ มาเลเซียและลาว

ทั้งนี้ สาระสำคัญในเอ็มโอยู ไทยและกัมพูชาตกลงกันว่าวิธีการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนนั้นจะดำเนินการในแนวทางตามเอกสารสำคัญคือ 1.อนุสัญญาระหว่างกรุงสยามและฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 2.สนธิสัญญาระหว่างพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1907 และ 3.แผนที่ซึ่งเป็นผลของการปักปันเขตแดน โดยคณะกรรมาธิการร่วมอินโดจีน-สยามตลอดจนเอกสารอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวโยงกับหนังสือสัญญาทั้งสอง นอกจากนี้ ไทยและกัมพูชายังตกลงกันว่าจะให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) และจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคเพื่อสำรวจแนวเขตแดนและเสนอตำแหน่งที่จะจัดทำหลักเขตแดน โดยขณะที่กำลังสำรวจเขตแดนนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดในสภาพแวดล้อมของบริเวณพื้นที่เขตแดนดังกล่าวด้วย

ดังนั้น หากทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถได้ข้อสรุปในกรอบการทำงานก็ไม่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้ อีกทั้งการยอมรับอนุสัญญาปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาปี ค.ศ.1907 เป็นเอกสารพื้นฐานไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดเสียเปรียบ

ส่วนการยอมรับแผนที่ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการปักปันเขตแดนโดยคณะกรรมาธิการร่วมอินโดจีน-สยามนั้น เป็นเพียงองค์ประกอบของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขต ซึ่งหากแผนที่ฉบับใดฉบับหนึ่ง ไม่เป็นที่ยอมรับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการวินิจฉัยกรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 หรือขัดกับหนังสือสัญญาทั้งสอง ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหาข้อยุติได้ แต่ถ้าไม่สามารถหาข้อยุติได้ ก็สามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้เช่นกัน

ในมาตรา 5 ของเอ็มโอยู ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อไทยเนื่องจากเป็นหลักประกันว่ากัมพูชาจะไม่ทำถนนเข้าพื้นที่ และจะดูแลไม่ให้มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม

แต่ปรากฏว่าช่วงนั้นตรงกับช่วงที่กัมพูชาเริ่มทำถนนเข้าไปในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน รวมทั้งชาวกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ เท่ากับว่าตั้งแต่ปี 2544 กัมพูชาไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน โดยที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไม่ได้ทักท้วง

นอกจากนี้ เอ็มโอยูฉบับนี้ยังเป็นกรอบสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย โดยเห็นได้จากการที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จัดการประชุมเจบีซี (คณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา) ขึ้นถึง 3 ครั้งในช่วงที่เกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศใช้เอ็มโอยูฉบับนี้เป็นเอกสารอ้างอิงในการทักท้วงทุกครั้งไป

ทั้งนี้ เอ็มโอยูฉบับนี้ ยังไม่มีรัฐบาลของฝ่ายใดเสียเปรียบ แม้แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ (ตั้งแต่ปี 2544) และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้นำเอ็มโอยูนี้ไปใช้ ซึ่งหากสร้างความเสียหายแก่ฝ่ายไทยจริงก็คงมีการวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว และอาจดำเนินการแก้ไขเนื้อหาด้วยโดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ดำเนินการไปอย่างไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ผลของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามเอ็มโอยูนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันในทุกประเด็น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถยอมรับในประเด็นใดๆ ก็ตาม สามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดบังคับให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่ไม่ต้องการได้

ยิ่งไปกว่านั้นผลสรุปของเจบีซีไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะจะต้องได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาอีกด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าเอ็มโอยูฉบับนี้เป็นเครื่องประกันไม่ให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนในพื้นที่ที่อ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อนกัน
--------------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สกู๊ปพิเศษ พระวิหารจากความเสี่ยงสู่การปกป้องอธิปไตย

ลำดับเหตุการณ์ที่เริ่มจากแถลงการณ์ร่วมระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลกัมพูชา ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เหตุใดจึงลามลุกไปไกลถึงขั้นที่ไทยจะเสียดินแดนให้กับกัมพูชา เกิดอะไรขึ้นใน แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 แล้วศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ล้วนแล้วแต่มองไปในทิศทางเดียวกันที่ว่า แถลงการณ์ร่วมนอกจากขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 แล้ว "นพดล ปัทมะ" ได้กลายเป็นตัวการทำให้ชาติวุ่นวาย และนี่คือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
http://www.atnnonline.com/Special-Report/พระวิหารจากความเสี่ยงสู่การปกป้องอธิปไตย.html


'บันทึก'กรรมการมรดกโลกไทยที่บราซิ
การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 34
วันที่ 27 กรกฎาคม 2553
เวลา 15.00 คณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมหารือกำหนดท่าทีของฝ่ายไทยในการประชุมวาระ บี เรื่อง สถานะของ การอนุรักษ์ทรัพย์สินที่ขึ้นทะเบียนมรดกโลกแล้วลำดับที่ 65 (ซึ่งเดิมอยู่ในลำดับที่ 66) เรื่อง ปราสาทพระวิหาร (กัมพูชา) [Temple of Preah Vihear (Cambodia)] ณ ห้องพักของนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โรงแรมรอยัลทิวลิป เมืองบราซิเลีย ประเทศบราซิล
ในการนี้ ฝ่ายความมั่นคง คือ กรมแผนที่ทหารได้แสดงภาพถ่ายบริเวณพื้นที่ปราสาทพระวิหารจากมุมสูง ซึ่งได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2553 ให้แก่คณะผู้แทนไทยเพื่อเป็นข้อมูลในการกำหนดท่าที โดยฝ่ายความมั่นคง ได้ชี้แนวเขตอธิปไตยของไทยตามคำพิพากษาของศาลปกครอง รวมทั้งจุดวางอาวุธหนักของกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร
โดยที่ประชุมได้ขอให้คณะผู้แทนไทย นำเสนอภาพดังกล่าวหากจำเป็นหรือหากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เพลี่ยงพล้ำ นอกจากนั้น ยังมีการกำหนดท่าทีที่พร้อมจะวอล์คเอาท์ออกจากห้องประชุม และอาจจะประกาศลาออกจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) หากจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อกดดันที่ประชุ

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดงสู้เพื่ออะไร

 "เสื้อแดง"สู้เพื่อสิ่งใด?
บทความนี้นำการวิเคราะห์ของคุณ
อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาเผยแพร่ น่าสนใจ จึงอยากจะนำมาลงไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษา
งานวิจัยชิ้นนี้กลายเป็นว่า คนเสื้อเหลือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ พ่อค้า ชนชั้นกลาง ผู้
มีรายได้เฉลี่ยมากกว่าคนเสื้อแดง กลับมีความคับข้องใจเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้มากกว่าคนเสื้อแดง
    เช่นเดียวกับทัศนคติเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นห่างกันจนรับไม่ได้มากกว่าที่คนเสื้อแดงคิด
    แสดงว่าคนเสื้อเหลืองคิดเรื่องพวกนี้มากกว่าคนเสื้อแดง
    ไม่น่าเชื่อที่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ไม่คิดว่าตัวเองยากจน และไม่ได้มองเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่มีการประกาศมาตลอดว่า คนเสื้อแดงต่อสู้เรื่องความเหลื่อมล้ำ ถึงขั้นแบ่งแยกไพร่ แยกอำมาตย์
    กลุ่มไม่ฝักใฝ่สีไหนเสียอีก ที่เป็นคนจนตามท้องไร่ท้องนา มองว่ากลุ่มตนเองยากจนแร้นแค้น
    ช่างน่าขำ มีทั้งการเสวนา ทั้งอภิปราย นับร้อยๆ เวที บางเวทีถ่ายทอดสดทางทีวี ต่างรับรู้ข้อมูลตรงกันว่า เสื้อแดงเป็นชุมนุมของผู้ยากไร้ ผู้ถูกรังแก
    สิ่งที่พูดกันไปก่อนหน้านี้เท่ากับสูญเปล่าอย่างนั้นหรือ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเท่ากับมีการบิดเบือนความจริงมาโดยตลอด 
    หากดูระดับการศึกษาจะพบว่า คนเสื้อเหลืองจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าคนเสื้อแดง คือ 38.46% ต่อ 18.73% แต่การศึกษาไม่อาจวัดทุกอย่างได้
    แต่บางอย่างที่วัดได้และมีความแม่นยำสูงคือ "ผลประโยชน์"
    คนเสื้อแดงคือกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากโครงการประชานิยมของ "น.ช.ทักษิณ" มากที่สุด รองลงมาเป็นคนเสื้อเหลือง และกลุ่มไม่สนับสนุนฝ่ายใด
    งานวิจัยชิ้นนี้สรุปได้น่าสนใจว่า ความเหลื่อมล้ำและความยากจนทั้งในเชิงภาวะวิสัยและอัตวิสัยไม่ได้เป็นที่มาของความคับข้องใจของคนเสื้อแดง
    ซึ่งคงยืนยันได้ตามนั้น การต่อสู้ทั้งหมดของคนเสื้องแดงไม่ได้มีเรื่องชนชั้น เรื่องความเหลื่อมล้ำ และไม่ใช่เรื่องการปกป้องผลประโยชน์คือนโยบายประชานิยม เพราะนอกจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงไว้ซึ่งนโยบายแจกสะบัดนี้แล้ว ยังต่อยอดให้คนเสื้อแดงได้รับการดูแลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ออกจะมากกว่าเสียอีก
    ท้ายสุด ที่คนเสื้อแดงออกมาจนก่อให้เกิดวิกฤติเผาบ้านเผาเมืองมาแล้ว 2 รอบ
    สาเหตุหลักคือบูชา "น.ช.ทักษิณ"
    ข้อเรียกร้องที่แท้จริงของคนเสื้อแดงก็คือการยุบสภา ถ้าผนวกกับแคมเปญของ "เฉลิม อยู่บำรุง" พาทักษิณกลับบ้าน ก็น่าจะชัดว่า สิ่งที่คนเสื้อแดงคิด คือผลประโยชน์ของกลุ่มตน ไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติ

http://thaipost.net/news/190710/25048