บล็อกนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องอะไรก็ได้ที่อยู่ในความสนใจ

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารออร์แกนิค

อาหารออร์แกนิคคือ…

อาหารออร์แกนิคเป็นอาหารที่ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตค่ะ

ถ้าเป็นออร์แกนิคแบบเกษตรอินทรีย์ ก็จะเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 6 ปี ส่วนเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ในการเพาะปลูกต้องไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรม ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เรียกได้ว่าเป็นพืชผักที่โตมาแบบวงจรธรรมชาติ ดังนั้นผลผลิตที่ได้เป็นผลผลิตที่มาจากการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ รสชาติดี มีวิตามินและเกลือแร่ครบถ้วนค่ะ

จากผลการวิจัยจำนวน 41 ชิ้นโดย The Soil Association ประเทศอังกฤษ ในปี 2544 พบว่าพืชที่ปลูกโดยวิธีออร์แกนิคจะมีวิตามินซี แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสสูงกว่าพืชที่ปลูกโดยใช้กระบวนการที่มีสารเคมีค่ะ

ส่วนปศุสัตว์แบบออร์แกนิค ก็จะเริ่มแต่ขั้นตอนการเลี้ยง สัตว์จะมีอิสระเสรี วิ่งได้ตามธรรมชาติ และหญ้าหรืออาหารที่ใช้เลี้ยงก็จะไม่มียาฆ่าแมลง และไม่มีการให้อาหารสำเร็จรูปค่ะ

แม่ท้อง..กับออร์แกนิค

Mr.Edward Jay Salmon : Research Director of Tustin Longevity Center (California) กล่าวว่าบุคคลปัจจุบันคนเรามีความเสี่ยงต่อการได้รับสารเคมีมากกว่า 15,000 ชนิด ทั้งจากอาหาร น้ำดื่ม อากาศ สิ่งแวดล้อมซึ่งล้วนเต็มไปด้วยสารพิษ ทั้งพิษจากโลหะหนัก สารตะกั่ว พลาสติก กระบวนการปิโตรเคมี รวมทั้งภาชนะที่ใส่อาหาร ฯลฯ

ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันส่งผลต่อสุขาพอย่างเห็นได้ชัด โดยดูจากอัตราการเกิดโรคและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมาเด็กอเมริกันทุกวันนี้เป็นโรคมะเร็ง ออทิสติก และหอบหืดเพิ่มมากขึ้น โดยอัตราส่วนของเด็กที่เป็นออทิสติกเพิ่มขึ้น จาก 1 : 2,000 คน เป็น 1 : 66 คนทีเดียว

จากตัวเลขดังกล่าวบอกได้ว่า พิษภัยของสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม ทำให้ร่างกายเป็นแหล่งสะสมสารพิษ ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และจนมาถึงช่วงของการตั้งครรภ์ แม่ก็จะมีสารพิษสะสมอยู่ในร่างกายรวมทั้งมดลูกด้วย ซึ่งสารพิษเหล่านั้นก็ส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยค่ะ

และการที่คุณแม่ได้รับสารพิษพวกนี้เข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากๆ ก็จะส่งผลทำให้มีพิษในเลือดปริมาณมาก พิษเหล่านี้อาจไปทำปฏิกิริยาหรือส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ค่ะ

แต่หากคุณแม่มีการดูแลร่างกายตั้งแต่ก่อนและขณะตั้งครรภ์ โดยมีการล้างพิษออกจากร่างกาย ด้วยวิธีการที่ได้รับการรับรองจากการแพทย์ เพื่อกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกายเพื่อให้ร่างกายสะอาด ด้วยการรับประทานอาหารออร์แกนิคตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ความเสี่ยงต่อโรคทั้งหลาย เช่น ออทิสติก หอบหืด ภูมิต้านทานบกพร่อง มะเร็ง ที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อยก็จะลดน้อยลงและตัวคุณแม่ก็จะแข็งแรงด้วยค่ะ



คุณแม่ออร์แกนิค - คุณสิริรัตน์ พิลาคง

เป็นคุณแม่ที่ดูแลตัวเองด้วยผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคค่ะ เธอเป็นคนที่สนใจเรื่องสุขภาพมานานแล้ว เริ่มรับประทานอาหารปลอดสารพิษมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย พอมีครอบครัว มีลูก ก็ต้องดูแลตัวเองและครอบครัวมากขึ้น โดยคุณสิริรัตน์เล่าให้ฟังว่า

“หลังจากได้รู้จักออร์แกนิค ก็เริ่มศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าออร์แกนิคคืออะไร มีอะไรบ้าง วัตถุดิบเป็นอย่างไร มีประโยชน์อย่างไรแล้วก็ลองนำมาใช้เลยค่ะ

เพราะเวลาที่เราไปซื้อผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาด ก็จะมีส่วนหนึ่งที่เป็นสารเคมีเข้ามาด้วย แต่ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ปราศจากสารเคมี 100% ตั้งแต่กระบวนการเตรียมดิน การผลิต การใช้แรงงานคน การบรรจุ หรือแม้กระทั่งบรรจุภัณฑ์ที่ใช้จะไม่มีมลพิษสิ่งแวดล้อม เป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ ทำให้รู้สึกว่าถ้าได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีกับตัวเรา ดีกับลูกเรา แล้วยังดีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

คิดว่าการที่เราจ่ายเงินไปเพียงเล็กน้อย แต่ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปนเปื้อน ซึ่งในระยะยาวอาจจะทำให้เจ็บป่วย หรือเป็นโรคโดยที่เราไม่รู้ตัว คงไม่คุ้มหรอกค่ะ สู้ยอมเสียเงินมากกว่าหน่อย แต่ได้สิ่งที่ดีกลับคืนมาสู่ตัวลูกและตัวเราดีกว่าค่ะ

อีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับเราซื้อของด้วยความรู้สึกสบายใจ จะมีความสุขกับการใช้ของสิ่งนั้น อเราได้ของที่ใช้แล้วปลอดภัยเราก็มีความสุขค่ะ

ตลอดการตั้งครรภ์ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย สุขภาพแข็งแรงดีทั้งแม่ทั้งลูกค่ะ ตอนนี้ก็ใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับเด็ก และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนด้วยค่ะ”

แม้ว่าจะยังไม่มีการวิจัยถึงผลดีของการกินอาหารออร์แกนิคต่อสุขภาพออกมาอย่างชัดเจน ในเชิงของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งจะต้องมีการควบคุมตัวแปรอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพ ไม่ใช่อาหารแต่เพียงอย่างเดียว แต่จากผลการวิจัยที่ได้จะเป็นการวิจัยที่ได้จากการสังเกตกลุ่มคนที่กินอาหารออร์แกนิค หรือเรียกว่าเป็นการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ ซึ่งผลที่ได้ก็เชื่อว่าน่าจะส่งผลดีต่อสุขภาพของคนเราค่ะ

สำหรับคนเป็นแม่ อะไรที่บอกว่าดีต่อสุขภาพมีหรือจะไม่สนใจ เพราะฉะนั้นออร์แกนิคก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคุณแม่ออร์แกนิคหรือไม่ก็ตาม นอกจากดูแลเรื่องสุขภาพกายแล้วก็ไม่ควรละเลยการดูแลสุขภาพใจด้วยนะคะเพื่อเจ้าตัวเล็กจะได้สมบูรณ์แข็งแรงทั้งกายทั้งใจค่ะ



[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 23 ฉบับที่ 276 มกราคม 2549 ]



**ต้องขอบคุณพี่หน่อย Health me shop ด้วยนะคะ ที่ส่งเรื่องนี้มาให้กับทางเครือข่ายตลาดสีเขียวได้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้บริโภค
http://www.thaigreenmarket.com/greenconsumerpage.php?id=68

Cancer Foods

Cancer Foods
อาหาร Fast Food จากต่างประเทศอันตราย บริโภคแล้วเป็นมะเร็ง

Fast Food จากต่างประเทศ มีไขมันทรานส์ (Trans Fat) เป็นจำนวนมาก

ไขมันทรานส์ จะเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลว และ ลดระดับของโคเลสเตอรอลชนิดดีให้ลดลง

ไขมันทรานส์ เป็น ไขมันที่ทำให้ ผนังเส้นเลือดจะสะบักสะบอม เต็มไปด้วยคราบไขอุดตัน

Big Mac แฮมเบอเกอร์ มีไขมันทรานส์ 1.5 กรัม

เฟรนช์ฟราย (french fries) ขนาดใหญ่ 170 กรัม มีไขมันทรานส์ 8 กรัม

ไขมันทรานส์ มีใน "อาหารสำเร็จรูป จากต่างประเทศ" และ "Fast Food จากต่างประเทศ"

Fast Food จากต่างประเทศ บริโภคแล้วเป็นมะเร็ง

(1.) แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุงทำให้มี “แบคทีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส”(MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ผู้บริโภคอ้วนขึ้นด้วย

มีสารอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท


(2.) ไก่ทอด - เนื้อนุ่มไร้กระดูก

เป็นเมนู ที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลัง งาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี “สารอะลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย

(3.) พิซซ่า

“พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิด คือ…..1.”เนยแท้”(cheese) เพียง 10% เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย…..2.”แป้ง” ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโม เลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…..3.”ซอสมะเขือเทศ” ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…..4.”แป้งสาลี” ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม…..5. มี “น้ำมันฝ้าย” ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสาร พิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธารณะสุข ต่างไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภค ได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “น้ำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจมี “สารอะคริลิไมด์” เกิดขึ้นด้วย ขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน

(4.) เฟร้นช์ฟราย- มันฝรั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝรั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก…..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็ว มาก

(5.) โดนัท

โดยเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุ มูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดี และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

6.) ไอศกรีม

มีไขมันอยู่สูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มากเกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง



(7.) ฮอทด็อก



เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ และ “ฮอทด็อก” ทั้ง หมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม โดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “โรคมะเร็ง” ในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อก ก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำ ไปปิ้งย่าง มันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นสารก่อมะเร็ง และ “ทำลายประสาท” นอกจากนี้

ไส้กรอก และ หมูแฮม ยังทำให้คนที่บริโภค เข้าไป เกิดโรคอ้วนด้วย

(8.) น้ำอัดลม

สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวของน้ำอัดลมจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน”

นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Diet soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขณะที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลม ยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” ด้วย



25 กันยายน 2553 14:29:40

“หนึ่งทศวรรษ วิถีชีวิต วิธีสู้ : ขบวนการประชาชนร่วมสมัย”

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20100917/353618/ผาสุกชี้กองทัพขวางพัฒนาการเมือง-ปฏิรูปส่อเหลว.html
นักวิชาการระบุกองทัพโดดสู่อำนาจหลัง2549 เสนอลดอำนาจ ชี้โจทย์ใหญ่ดึงพลังแดง-เหลืองเข้าสภา ติง"คณิต"มีโพยไม่หาความจริง เมินปฏิรูปแก่หน้าเก่า

วันที่ 17 กันยายน 2553 ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “ทบทวนขบวนการเคลื่อนไหวในประเทศไทย” โดย ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวปาฐกถาหัวข้อ“หนึ่งทศวรรษ วิถีชีวิต วิธีสู้ : ขบวนการประชาชนร่วมสมัย”
มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า ขบวนการเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นสงครามความคิดและสงครามแย่งชิงมวลชน จุดเริ่มต้นเป็นเพียงความขัดแย้งของบรรดาส่วนหัวของชนชั้นนำ


พรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้อยู่ในอำนาจ และพยายามไม่ให้ทักษิณอยู่ในอำนาจได้อีก แต่ความขัดแย้งดังกล่าวไปไกลกว่ากลุ่มชนชั้นนำ ทักษิณได้กลายเป็นตัวแทนของพลเมืองระดับล่างที่ต้องการสังคมที่ไม่เลือกปฏิบัติ พลังพลเมืองตรงนี้ผลักดันให้"ทักษิณ"กลายเป็นนักการเมืองแนวประชานิยม เหมือนเกิดขึ้นในประเทศกลุ่มละตินอเมริกา แต่เป็นเรื่องใหม่ของสังคมไทย "ทักษิณ"ผันตัวเองเป็นนักการเมืองประชานิยม อ้างอิงความชอบธรรมจากแรงสนับสนุนของประชาชน

เธอกล่าวอีกว่า ทักษิณกลายเป็นคบไฟให้มวลชนได้ใช้เสียงเลือกตั้ง เป็นเครื่องมือปรับปรุงชีวิตของพวกเขา แต่ความเชี่ยวจัดในการใช้ประชานิยมเข้าสู่อำนาจประกอบกับความมั่งคั่งมหาศาล ทำให้คนชั้นกลางต้องการยึดโยงกับสถาบันดั้งเดิม คือ กองทัพ และพระมหากษัตริย์ เพื่อทดแทนกับจำนวนอันน้อยนิดของกลุ่มตนเมื่อเทียบมวลชนระดับล่างและกลางที่สนับสนุนทักษิณ

"การระดมมวลชนของคนเสื้อเหลืองได้ขยายจำนวนคนเสื้อเหลือง ท้ายที่สุดความขัดแย้งในกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันเองได้ขยายขอบเขตระหว่างการเคลื่อนไหวเพื่อหาผู้สนับสนุนสองขบวนการที่ต่างกัน
ตามที่ได้บอกไว้ก่อนหน้า ว่าขบวนการเสื้อเหลืองและเสื้อแดง เป็นสงครามความคิดและสงครามแย่งชิงมวลชน"

นักวิชาการสตรีกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของขบวนการส่วนหัวของชนชั้นนำ และขบวนการสังคมที่ก่อตัวขึ้น โยงเข้าด้วยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยมี"ทักษิณ"เป็นตัวเชื่อม
เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น เพราะทักษิณมีบุคลิกเป็นคนหลายแพร่งซึ่งขัดแย้งในตัวเอง
แพร่งหนึ่ง เขาอาจเป็นคนนิยมความสมัยใหม่เป็นนักธุรกิจที่ผันตัวเองเป็นนักการเมืองประชานิยม
อีกแพร่งหนึ่ง เขาเป็นบุคคลที่หยามเหยียดประชาธิปไตยเป็นที่สุด แต่ได้กลายเป็นผู้ปกป้องประชาธิปไตย
อีกแพร่งหนึ่ง เขาโกงกินภาษีประชาชนได้อย่างหน้าตาเฉย อีกทั้งหาประโยชน์จากระบบสองมาตรฐานตลอดเวลา แต่ประวัติศาสตร์ก็เต็มไปด้วยบุคคลที่มีบุคลิกแบบนี้ และ"ทักษิณ"ไม่ใช่คนเดียวที่มีบุคลิกแบบนี้

"เรื่องสำคัญคือทำอย่างไรจะให้สงครามทางความคิดและสงครามการแย่งมวลชนหลุดออกจากถนน และเข้าไปสู่กรอบกติกาทางการเมืองที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ในระบบรัฐสภา
ซึ่งเรายังมีประสบการณ์เรื่องนี้ไม่มากพอ เพราะถูกรบกวนโดยพลังนอกรัฐสภาอยู่เสมอ
โดยเฉพาะการรัฐประหารที่เกิดขึ้นครั้งใด ทำลายกระบวนการเรียนรู้ที่ได้สั่งสมมา และย้อนสู่ระบอบเดิมที่ความสัมพันธ์เหลวเละกลับมาตลอดเวลา
อุปสรรคสำคัญของการพัฒนาสังคมนั้นเกี่ยวโยงกับบทบาทกองทัพในการเมืองไทย สถาบันอื่นๆ ได้ปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง แต่กรณีของกองทัพการรัฐประหาร 2549 ทำให้กองทัพได้เข้ามายืนอยู่ในฐานของอำนาจอย่างเป็นทางการและมีสถาบันรองรับ คือรัฐธรรมนูญ 2550"

ศ.ดร.ผาสุก กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องความกลัวพลังราษฎร ของชนชั้นกลางและชนชั้นนำบางส่วนที่พยายามยึดติดระบบคณาธิปไตยแบบเดิมๆ ไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของตัวเอง แต่ถ้าคิดในทางบวก การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้น เพราะว่าไม่มีเกมเป็น zero sume game ที่จะเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง อาจจะต้องตายไปครึ่งประเทศ ซึ่งจะเป็นความเสียหายอย่างมหาศาล

ดังนั้น อยากเสนอว่าเราต้องเปลี่ยนจาก zero sume game มาเป็นเกมที่จะต้องคิดไปด้วยกันและตกลงกันจะใช้กติกาอะไรเป็นทางออกของการเมือง ขณะนี้จึงเป็นเรื่องทั้งสองฟากจะพัฒนาสู่พรรคการเมืองข้ามพ้นทักษิณ และ ข้ามพ้นการเมืองที่ใช้เงินจำนวนมาก แม้จะมีกลุ่มเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญของการเลือกตั้งอีกต่อไป ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ต้องการการพิสูจน์ และต้องหาทางออกให้กองทัพได้ลดบทบาทของตัวเองอย่างสง่างาม

ชี้ปฏิรูปเหลวถ้ามองข้าม 91ศพ-ไม่หวังบอร์ดแก่หน้าเก่าๆ

ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ให้สัมภาษณ์อีกถึงการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิรูปและปรองดองว่า แม้จะมีคณะกรรมการหลายชุด แต่หัวขบวนไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน จะทำอะไรใหม่ๆ หรือจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธานนั้น คนหมดศรัทธาไปแล้ว

เพราะก่อนหน้านี้นายคณิตเคยทำหน้าที่ค้นหาความจริงหลายกรณี เช่น เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 แต่ไม่เคยสำเร็จ สังคมไม่เคยได้ความจริงที่น่าพอใจ ทั้งที่กรรมการชุดนี้คือหัวใจของการปฏิรูป
ต้องหาความจริงให้ได้ถึงการตายของ 91 ศพใครลงมือทำ จะบอกเป็นกองกำลัง"ชุดดำ"คงไม่เพียงพอ แต่ปรากฎว่าตั้งขึ้นได้ไม่นาน นายคณิตกลับบอกว่าการทำงานมีขอบเขตมาก ทำให้คิดได้ว่านายคณิตมีโพยจากใครไม่ให้ค้นหาความจริงหรือไม่

ศ.ดร.ผาสุก กล่าวอีกว่า ส่วนคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ชุดนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน บอกจะขจัดความเหลื่อมล้ำนั้นจะช่วยแก้ความขัดแย้งได้ในระยะยาว เพราะมีหลายมิติทั้งเรื่องทรัพยากร ที่ดิน ภาษี เรื่องศักดิ์ศรีมนุษย์จะมีการแก้หรือไม่ ซึ่งต้องช่วยกันคิดว่าจะแก้อย่างไร
แต่วันนี้ความเหลื่อมล้ำเป็นแค่วาทกรรม โดยมองกันว่าหากแก้ความเหลื่อมล้ำแล้วจะแก้ปัญหาอื่นได้ทั้งหมด ทั้งที่ความจริงแล้วปัญหาลึกกว่านั้น

เพราะเป็นเรื่องของการเมืองและเรื่องอำนาจ ถ้าแก้แต่เรื่องความเหลื่อมล้ำแล้วละเลยเรื่องการเสียชีวิตของ 91 ศพก็แก้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นบาดแผลลึกในสังคม ไม่ได้แก้ด้วยการปฏิรูปที่ดินมันคนละเรื่องกัน ต้องทำเรื่อง 91 ศพให้ความจริงปรากฎ หากต้องรับผิดก็ไม่ควรลูบหน้าปะจมูก เพราะมีการตายแบบนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ไม่ใช่บอกให้ลืมกันไป เพราะเรื่องการเสียชีวิตถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งญาติผู้เสียชีวิตคงรับไม่ได้

"กรรมการที่ตั้งขึ้นปฏิรูปในปัจจุบันยังไม่มีตัวแทนที่มีความชัดเจนว่าเป็นคู่ขัดแย้งในสังคม จึงไม่อาจตอบโจทย์ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น อาจจะไม่ใช่คนที่สังกัดสี แต่ต้องเป็นคนรุ่นใหม่อายุราว 30-40 ปีที่มีความสัมพันธ์กับสีต่างๆ มีความเห็นกว้างขวางเข้ามาร่วมด้วย ไม่ใช่ใช้แต่คนสูงอายุคนหน้าเดิม ๆ ถือว่าเป็นพวกเดียวกันคุยได้ พวกอื่นไม่เอา เพราะสุดท้ายก็จะแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก ไม่สามารถสร้างพลังการปฏิรูปได้" ศ.ดร.ผาสุก กล่าว

Tags : ผาสุก พงษ์ไพจิตร • ปฏิรูปประเทศ

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553


16 กันยา วันโอโซนโลก

'World Ozone Day' 16 กันยายน วันแห่งการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน

ยิ่งอุตสาหกรรมก้าวหน้าไปมากเท่าไหร่ ชั้นบรรยากาศก็ยิ่งถูกปกคลุมไปด้วยก๊าซพิษมากขึ้นเท่านั้น
ทำให้ชั้นบรรยากาศต่างๆ ถูกทำลายลงโดยเฉพาะโอโซน (OZONE)
ที่ถือเป็นก๊าซที่พบมากในชั้นบรรยากาศของโลก
ทำหน้าช่วยกรองรังสีต่างๆ ดวงอาทิตย์ไม่ให้เข้าสู่โลกของเรา
จึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆ แต่เมื่อ โอโซนถูกทำลาย
ก็ย่อมส่งผลต่อโลกของเรา
อาจทำให้โลกร้อนขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่างๆ ตามมามากมาย
ด้วยเหตุนี้มนุษย์โลกจึงหันมาใส่ใจกับการพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
และได้มีการกำหนดให้วันที่ 16 กันยายน
เป็นวันโอโซนโลก (World Ozone Day) เพื่อเป็นการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน 

ความเป็นมา...ของวันโอโซนโลก World Ozone Day

ในช่วง 20 – 30 ปีที่ผ่านมาได้มีการนำสารเคมีซีเอฟซี
หรือคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC : chlorofluorocarbon)
จำนวนมากมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น
(เช่น ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ)
และอุตสาหกรรมการผลิตโฟม ทำให้มีซีเอฟซีระเหยขึ้นสู่บรรยากาศ
และไปทำปฏิกิริยากับก๊าซโอโซน ทำให้ก๊าซโอโซนถูกทำลาย
จนมีปริมาณลดลงอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ซีเอฟซียังสลายตัวได้ยาก จึงตกค้างในบรรยากาศได้ยาวนาน
ทำให้ก๊าซโอโซนถูกทำลายได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เมื่อก๊าซโอโซนลดน้อยลง
ก็จะทำให้รังสีอุลตราไวโอเลตเข้าสู่พื้นโลกได้มากจึงเป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างมาก
โดยเฉพาะการเกิดโรคมะเร็งที่ผิวหนัง ดังนั้นการกำหนดให้มีวันโอโซนโลกขึ้น
ก็เพื่อเป็นการพิทักษ์บรรยากาศชั้นโอโซน 

นานาประเทศได้ร่วมกันจัดทำอนุสัญญาการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน
ขึ้นในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)
เรียกว่า "อนุสัญญาเวียนนา และพิธีสารว่าด้วยการเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน"
และจัดให้ลงนามใน "พิธีสารมอนทรีออล" ขึ้นใ
นวันที่ 16 กันยายน ปี ค.ศ.1987 (พ.ศ. 2530)
เป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาเวียนนาฯ ดังนั้นองค์การสหประชาชาติ
จึงได้ประกาศให้วันที่ 16 กันยายน ของทุกปี
เป็น “วันโอโซนโลก” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา 

สาระสำคัญของอนุสัญญาเวียนนานับว่า เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ
ที่มุ่งมั่นในการพิทักษ์ชั้นโอโซน และเป็นเครื่องมือทางกฎหมายข้อแรก
ที่กลายเป็นรูปแบบของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน
ปัจจุบันมีประเทศที่ร่วมให้สัตยาบันแล้วรวม 191 ประเทศ
นั่นหมายถึง ชุมชนโลกส่วนใหญ่ ได้พร้อมใจกันที่จะพิทักษ์ชั้นโอโซน 

สำหรับประเทศไทยได้ร่วมลงนามในพิธีสารนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2531
และให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2532
มีผลบังคับใช้ต่อประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2532 

ผลของพิธีสารในขั้นต้นสารเคมีที่ถูกควบคุม คือ
สาร CFC (Chlorofluorocarbon) รวม 5 ชนิดและสารฮาลอน (Halon) 3 ชนิด
รวมสารควบคุมทั้งสิ้น 8 ชนิด ซึ่งสารเหล่านี้ถูกใช้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท
เช่น สารทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใช้เป็นก๊าซสำหรับเป่าโฟม
และเป็นฉนวนในโฟม รวมทั้งใช้เป็นตัวทำละลายในการทำความสะอาด
ล้างคราบไขมันสิ่งสกปรกในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่สารที่อยู่ในกระป๋องสเปรย์
ส่วนสารฮาลอนใช้เป็นสารดับเพลิงในอุปกรณ์ป้องกัน และระงับอัคคีภัย
ซึ่งการใช้สาร CFC ก็มีมากในการอุตสาหกรรม
นั่นคืออุตสาหกรรมยิ่งพัฒนา ก็จะมีการทำลายโอโซนกันมากเท่านั้น 

เป้าหมายของการกำหนดวันโอโซนโลก 

1. เพื่อกระตุ้นให้ประเทศปฏิบัติต่ออนุสัญญา ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก 

2. เพื่อช่วยกันลดใช้สารซี เอฟ ซี และสารฮาลอน
ซึ่งเป็นตัวทำลายบรรยากาศโอโซนในชั้นบรรยากาศ 

เราจะทำอะไรเพื่อช่วยโลกได้บ้าง 

แม้จะมีสนธิสัญญาเพื่อลดและเลิกการใช้สารซีเอฟซีแล้ว
แต่สารซีเอฟซียังจำเป็นต่ออุตสาหกรรมบางชนิด จึงยังมีการใช้ซีเอฟซีกันอยู่อีกต่อไป
ก๊าซโอโซนก็ยังคงถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
จนส่งผลกระทบเป็นภาวะโลกร้อนอย่างที่มนุษย์เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้
เราในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของโลก จะสามารถช่วยลดสาร CFC ได้โดย 

1.เลือกซื้อ และใช้เครื่องปรับอากาศที่มีสัญลักษณ์ Non CFCs 

2.หมั่นตรวจเช็กระบบแอร์รถยนต์ในอู่ที่ได้มาตรฐาน
รวมหมั่นล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศบ้าน 

3.ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่งที่ปล่อยสาร CFC ที่จะออกมาทำลายชั้นโอโซนได้
ดังนั้นควรเปลี่ยนตู้เย็นที่ใช้มานานกว่า 10 ปี และไม่เปิดตู้เย็นบ่อย
เพราะจะทำให้ระบบทำความเย็นทำงานหนัก 

4.เลิกใช้อุปกรณ์ที่เป็นลักษณะกระป๋องสเปรย์ รวมทั้งวัสดุที่ทำจากโฟมทั้งหลาย
ซึ่งมีสาร CFC เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต และวัสดุเหล่านี้ยังย่อยสลายได้ยากอีกด้วย 

16 กันยายน 2553 จาก http://www.voicetv.co.th/content/21368